มารับฟังเสียงสะท้อนจากองค์กรชุมชน เพื่อยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ ไม่ว่ากับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี คนข้ามเพศ คนที่มีความหลากหลายทางเพศ และพนักงานบริการ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงรัฐสวัสดิการ ระบบบริการสุขภาพ
และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างเท่าเทียม #ZeroDiscriminationDay #ZeroDiscrimination
ชุดตรวจ Gen 4 มีบริการแล้วที่แคร์แมท แต่ อย่ารีบตรวจเอชไอวี ถ้า…?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเราอยากรู้ว่าติดเชื้อเอชไอวีแล้วหรือไม่ ก็ต้องไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี ก็ตรวจเร็ว รู้เร็ว รักษาเร็ว ไม่ใช่หรือ คำตอบคือใช่ แต่อย่าลืมว่า หากเมื่อเชื้อเข้าร่างกายไปแล้ว มันใช้เวลาอีกหลายวัน กว่าชุดตรวจจะตรวจพบมัน วันนี้เรามาลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจเอชไอวีจากการเจาะเลือด กับระยะเวลาที่ควรตรวจเลือด กันนะคะ
ผลเลือดบอกอะไรเราได้บ้าง
วิธีตรวจหาเชื้อที่ใช้ยืนยันได้ดีที่สุดคือการเจาะเส้นเลือดที่แขน เราแปรผลเลือดออกมาได้ดังนี้
ผลเลือดบวก = มีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย
ผลเลือดลบ = ไม่มีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย แต่ แน่ใจหรือ?
คำว่าผลเลือดบวก หมายถึง เราได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าแล้ว เป็นการยืนยันตามหลักการตรวจที่ถูกต้องทางการแพทย์ ส่วนผลเลือดลบนั้น ก็แปลว่า ไม่มีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย แต่ยังไม่ชัวร์ ถ้าจะให้ชัวร์ คุณต้องพ้น วินโดว์ พีเหรียด (window period) ไปก่อน
Window period คืออะไร
คือ ช่วงเวลาที่คุณได้รับเชื้อมาแล้ว แต่ตัวภูมิคุ้นกันของร่างกาย (antibody) และตัวเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย (antigen) ยังไม่ขึ้นถึงระดับที่จะตรวจหาได้ด้วยชุดตรวจ
ระยะเวลาของ วินโดว์ พีเหรียด ขึ้นกับชนิดของชุดตรวจ
เดิมที ในสมัยที่โลกเพิ่งรู้จักเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ราวปี ค.ศ. 1983 เทคโนโลยีในการตรวจหาเชื้อในร่างกายยังไม่ดีพอ ชุดตรวจสามารถตรวจหาได้เฉพาะ antibody ของเชื้อ (แต่ไม่สามารถตรวจหาตัวเชื้อได้) ซึ่งใช้เวลานานถึง 10 สัปดาห์หรือ 70 วัน กว่าจะพบ HIV antibody เรียกว่าเป็นชุดตรวจแบบแรก Gen 1 (First generation) และได้พัฒนามาเรื่อยๆตามลำดับดังนี้
ชนิดของชุดตรวจ | ปีที่เริ่มใช้ (ค.ศ.) | สิ่งที่ตรวจได้ | ระยะเวลาโดยประมาณที่ตรวจพบ |
Gen 1 | 1983 | HIV antibody | 70 วัน |
Gen 2 | 1987 | HIV antibody | 42 วัน |
Gen 3 | 1991 | HIV antibody | 21 วัน |
Gen 4 | 1997 | HIV antibody, HIV antigen | 14 วัน |
Gen 5 | 2015 | HIV antibody, HIV antigen
(ลดความซับซ้อนและตรวจได้แม่นยำกว่า Gen 4) |
14 วัน |
NAT
(Nucleic acid test) |
2001 | HIV RNA | 10 วัน |
อ้างอิงจาก Clinical evaluation of BioPlex 2200 HIV Ag-Ab, an automated screening method providing discrete detection of HIV-1 p24 antigen, HIV-1 antibody, and HIV-2 antibody.
Salmona M, Delarue S, Delaugerre C, Simon F, Maylin SJ Clin Microbiol. 2014 Jan; 52(1):103-7.
ตัวอย่างการนับ window period จากชุดตรวจ Gen 3
หลังจากติดเชื้อเอชไอวีแล้ว อีกประมาณ 21 วัน ภูมิของเชื้อ (antibody) จะเริ่มปรากฏในร่างกาย ดังเส้นสีเขียวในรูปที่ 1 ดังนั้นการนับ window period สำหรับการเลือกใช้ชุดตรวจ Gen3 จึงอยู่ที่ประมาณ 21 วันหลังจากที่เรารับเชื้อมา หากเรารีบมาตรวจก่อนนั้น ก็จะตรวจไม่พบภูมิของเชื้อเลย ผลเลือดที่ได้จะเป็น ผลเลือดลบ ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าเราไม่ได้รับเชื้อ แต่ความจริงคือ เราได้รับเชื้อแล้ว แต่ภูมิยังไม่ทันสร้างในวันที่เรามาตรวจ เช่น มาตรวจในวันที่ 7 หลังรับเชื้อ ผลเลือดจะยังคงเป็นลบ แต่เมื่อตรวจซ้ำหลังจากนั้นอีก 14 วันขึ้นไป ผลเลือดจะเป็นบวก
รูปที่ 1 Window period หรือช่วงเวลาที่ชุดตรวจแต่ละชนิดยังไม่พบภูมิของเชื้อและตัวเชื้อเอชไอวี แหล่งอ้างอิง : https://www.grepmed.com/images/1924/infectiousdiseases-screening-diagnosis-detection-antibody
หลายคนเรียก Window period ว่า ระยะฟักตัว ?
ระยะฟักตัว คือช่วงเวลาระหว่างการสัมผัสสิ่งที่ทำให้เกิดโรค กับการปรากฏอาการของโรค ในกรณีโรคติดเชื้อ ระยะฟักตัวคือระยะเวลาที่เชื้อเพิ่มจำนวนจนถึงจุดที่จะทำให้เกิดอาการในผู้ป่วยได้ กรณีของเชื้อเอชไอวี หลังจากรับเชื้อแล้วประมาณ 14-28 วัน จะแสดงอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น รูปที่ 2 ชี้ให้เห็นว่าระยะเวลาที่ผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการป่วยเฉียบพลันเกิดขึ้นเพราะเชื้อเพิ่มจำนวนสูงซึ่งเป็นเวลา 14-28 วันหลังรับเชื้อนั่นเอง
รูปที่ 2 ช่วงระยะเวลาที่ผู้รับเชื้อเอชไอวีเกิดอาการป่วยเฉียบพลัน แหล่งอ้างอิง : National HIV Curriculum, https://www.hiv.uw.edu/go/screening-diagnosis/acute-recent-early-hiv/core-concept/all
บังเอิญว่า ชุดตรวจ Gen 3 ใช้เวลาประมาณ 21 วันที่จะตรวจพบ antibody และชุดตรวจ Gen 4 ใช้เวลาประมาณ 14 วันที่จะตรวจพบ p24 antigen ของเอชไอวี ซึ่งระยะเวลานี้ ผู้รับเชื้อเริ่มแสดงอาการป่วยพอดี ดังนั้นระยะเวลาของ window period จาก Gen3,Gen4 จึงใกล้เคียงกับระยะเวลาของระยะฟักตัว จนทำให้หลายคนเข้าใจว่า window period กับระยะฟักตัว มีความหมายเหมือนกันหรือเป็นคำคำเดียวกัน อาจแนะนำได้เป็นภาษาที่ง่ายๆเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สองคำนี้มีที่มาต่างกัน หากเราพูดถึงชุดตรวจ NAT ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 วันจะพบเชื้อ ชุดตรวจนี้พบเชื้อก่อนที่ผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการป่วยด้วยซ้ำ ดังนั้นในกรณีนี้จะบอกว่า window period เท่ากับระยะฟักตัวไม่ได้
ชุดตรวจ Gen 4 มีบริการแล้วที่แคร์แมท
ชุดตรวจ Gen 4 สามารถตรวจหาทั้ง HIV antigen (p24) และ HIV antibody ซึ่งใช้เวลาประมาณ 14 วันขึ้นไปหลังจากการรับเชื้อ อักนัยหนึ่งคือ ชุดตรวจนี้ตรวจรู้ผลแน่นอนหลังจากเมื่อผ่าน window period ไปแล้ว 14 วัน
กรณีที่คุณมีความเสี่ยง เช่นมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันเมื่อ 5 วันที่แล้ว เกิดความกังวลใจ จึงรีบมาตรวจเลือดวันนี้ เจ้าหน้าที่จะชี้แจงคุณว่ายังอยู่ใน window period (สำหรับชุดตรวจ Gen4) ผลเลือดที่ได้ในวันนี้ หากเป็นผลเลือดลบ ก็ยังบอกไม่ได้ว่าคุณปลอดจากเชื้อเอชไอวี ต้องกลับมาตรวจซ้ำในอีก 9 วันขึ้นไป และในช่วง 9 วันที่กำลังรอตรวจซ้ำนี้ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ เพื่อจะได้ทราบผลเลือดที่แน่นอน
กรณีตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้น
และมันก็มีที่ซับซ้อนกว่านั้น ! เมื่อ window period ไม่จบ สมมุติว่า คุณมีความเสี่ยงในวันที่ 1 แล้วคุณจะรอตรวจในวันที่ 15 ถือว่าพ้น window period แล้ว แต่ในวันที่ 6 คุณมีความเสี่ยงอีก คราวนี้วันที่ 15 ของคุณจะถือว่ายังอยู่ใน window period ครั้งใหม่ทันที ซึ่งคุณต้องรอไปอีก 14 วันหลังจากความเสี่ยงซ้ำครั้งนั้น นั่นก็คือหลังจากวันที่ 20 เป็นต้นไป จึงจะรู้ผลเลือดที่แน่นอน
และถ้าคุณยังควบคุมความเสี่ยงไม่ได้อีก ก็ต้องนับไปอีก 14 วันไปเรื่อยๆนั่นเอง
รายละเอียด
แคร์แมทชวนคุณเช็คความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยตัวเอง
กรอกชื่อเล่น และเบอร์โทรศัพท์ (ที่สามารถติดต่อได้) ในแบบประเมินความเสี่ยงตนเอง
จับรางวัลผู้โชคดีในวันที่ 18 พ.ย.2564 ใน Caremat Facebook Live
ลุ้นรับรางวัลเงินสด มูลค่า 1,000 บาท 1 รางวัล
และของที่ระลึก 10 รางวัล
คลิกลิ้งค์นี้เพื่อร่วมกิจกรรม
https://www.carematapp.com/questionnaire/questionnaire.php
หรือสแกน QR code ในภาพได้เลย
Good Luck!
Talk out ep.3 รู้ให้ทัน ป้องกันให้เป็น
พูดถึงเอชไอวีในยุคนี้ ก็ย่อมต้องพูดถึงยา PrEP ด้วย ยาPrEP ทำให้เราปลอดภัยจากเชื้อเอชไอวี เหมือนการกินยาคุมแล้วป้องกันการตั้งครรภ์นั่นเอง เวลามีเพศสัมพันธ์ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะปลอดภัยทุกครั้ง แม้แต่กับคนที่เราไว้ใจ เมื่ออยู่ห่างกัน ถ้าเขาไปรับเชื้อเอชไอวีจากคนอื่นมาล่ะ? เราอาจใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันตัวเองได้ แต่ถ้าถุงยางหลุด แตก รั่ว หรือลืมพกมา ดังนั้นยา PrEP ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งที่จะหยุดวงจรความเสี่ยงต่อเอชไอวี “ให้ทุกความสัมพันธ์ป้องกันได้ เริ่มตรวจตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นสุขภาพดีที่ตัวคุณ”
EP.2 HIV โรคนี้ “ยิ้ม” ได้
เอชไอวี (HIV) ที่หลายคนรู้จัก คือเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่ทำการรักษาก็จะเข้าสู่สภาวะโรคเอดส์ (AIDS) โดยที่เชื้อเอชไอวี (HIV) จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ซีดีโฟร์(CD4) บางคนไม่แสดงอาการใด ๆ แต่จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง และมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ วัณโรค ตุ่มพีพีอี ปอดอักเสบพีซีพี เป็นต้น และหากไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเสียชีวิตลงได้
ปัจจุบันการรักษาและควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) มีประสิทธิภาพขึ้นมากกว่าแต่ก่อนในอดีต ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯมีทางเลือกในการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงน้อยและสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้จากสถานพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้ทุกวันนี้การติดเชื้อเอชไอวีคือโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เหมือนกับโรคหัวใจ ความดัน หรือเบาหวานที่ผู้ป่วยทุกคนต้องดูแลสุขภาพ กายใจ ทานยาเป็นประจำและต่อเนื่อง การทานยาต้านไวรัสโดยเร็วและมีวินัยในการทานยาที่ดีจะสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ ทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯ หลายคนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีความรักความสัมพันธ์ สร้างครอบครัว มีหน้าที่การงานและรายได้ที่มั่นคงไม่เจ็บป่วยเหมือนในอดีต รวมถึงลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสตัวนี้ให้กับผู้อื่น หรือที่เรากันเรียกว่า U = U หรือ Undetectable = Untransmittable ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ได้จากการศึกษาวิจัย 3 โครงการใหญ่ ซึ่งร่วมกันทำในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เป็นการศึกษาที่วางแผนและดำเนินการอย่างรัดกุม มีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือที่สุด ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่แล้วในวารสารการแพทย์ระดับชั้นนำ การศึกษาวิจัยดังกล่าว เป็นการติดตามพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของคู่ผลเลือดต่าง (ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี อีกฝ่ายไม่ติดเชื้อเอชไอวี) ใน 2 กรณี คือ คู่ชายกับชาย และคู่ชายกับหญิง โดยฝ่ายที่ติดเชื้อเอชไอวีทั้ง 2 กรณี ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จนมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำมาก คือ ต่ำกว่า 200 copies ต่อซีซีของเลือด หรือที่เรียกว่า “ตรวจไม่เจอ (Undetectable)”
หากเราทำความเข้าใจเรื่องการติดเชื้อเอชไอวีในมุมมองใหม่ ศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน เราจะสามารถเข้าใจได้ว่าผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อฯ ก็สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้จริง มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติสุข คลินิกเทคนิคการแพทย์แคร์แมท เชียงใหม่ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะยังคงตระหนักในการป้องกันตัวเองต่อการรับเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ลดหรือหยุดอคติและการตีตราในเรื่องเอชไอวีทั้งต่อตัวเองและผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อฯได้ในที่สุด เพราะคุณค่าของชีวิตคือการดำรงอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับตัวเอง ครอบครัว และชุมชนของเรา
EP.1 “ SEX ” ความสุขหรือความเสี่ยง
ถ้าพูดถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ในยุคปัจจุบันนี้ คงไม่ได้หมายความเพียงแค่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย – หญิง เท่านั้น เพราะการยอมรับในเรื่องเพศที่เปิดกว้างในยุคปัจจุบันนี้ ไม่ว่าคุณจะระบุตัวเองว่าเป็นกลุ่มใดล้วนมีประสบการณ์ทางเพศที่แตกต่างกันไปนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมทางเพศ รูปแบบหรือความพึงพอใจต่อคู่สัมพันธ์ทางเพศที่หลากหลาย จนอาจจะสามารถพูดได้ว่า “เซ็กส์” เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้
จากงานวิจัยในหลายๆ ชิ้น ต่างล้วนบอกว่า “เซ็กส์” เป็นกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียด เพราะหลังอาการเสร็จกิจ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินออกมา ซึ่งเป็นตัวคลายความรู้สึกเร้าทางเพศของร่างกายให้ลดลง ไม่เฉพาะทางกายเท่านั้น ยังผ่อนคลายทางด้านจิตใจอีกด้วย นอกจากนั้น “เซ็กส์” ยังช่วยเสริมสร้างความรักความสัมพันธ์ในคู่รักแต่ละคู่ด้วยหากว่ามีความต้องการทางเพศที่สอดคล้องกัน
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ปัญหาที่มาพร้อมกับการมี “เซ็กส์” ในแต่ละครั้งก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกันหากคุณและคู่ไม่ได้คำนึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ รวมถึงเชื้อไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ และเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นพาหะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ ได้ในอนาคต
การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต โดยคุณควรตระหนักถึงภัยที่ตามมาหลังจากการมี “เซ็กส์” ควรมีการป้องกันในทุกครั้งและกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่คู่รักของคุณเอง ซึ่งปัจจุบันที่มีอุปกรณ์การป้องกันที่หลากหลายทั้งยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น เป็ปและเพร็พ รวมถึงการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เรามั่นใจได้ว่า เรายังปลอดภัยจากเชื้อโรคต่างๆ และมีทางเลือกในการป้องกันที่เหมาะสมกับสถานการณ์ชีวิตในแต่ละช่วงโดยการพูดคุยและวางแผนกับเจ้าหน้าที่ผู้ให้การปรึกษา
คลินิกเทคนิคการแพทย์แคร์แมท เชียงใหม่ ขอสนับสนุนให้ทุกคนมี “เซ็กส์” ที่สุข สนุกและปลอดภัยนะครับ
ยาต้านเอชไอวีสูตรใหม่มาถึงไทยแล้ว
ขณะนี้ ยาต้านเอชไอวีสูตรผสมที่ชื่อว่า Kocitaf ได้รับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศไทยแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2564 ซึ่งมีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาในผู้ใหญ่ และวัยรุ่น (อายุ 12 ปีขึ้นไป และมีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลรัม) ที่ติดเชื้อ HIV-1 หวังว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะอนุมัติให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีสามารถรับยานี้ด้วยสิทธิบัตรทองและประกันสังคมได้ ยาตัวนี้มีข้อดีข้อด้อยเมื่อเทียบกับยาสูตรที่นิยมใช้ในปัจจุบัน (ยี่ห้อ Teevir) อย่างไร ก่อนอื่นขอเสนอเนื้อหาที่เป็นวิชาการพอสมควรเพื่อผู้อ่านจะได้รับความรู้ที่ค่อนข้างลึกเกี่ยวกับยา
Kocitaf ประกอบด้วย
Tenofovir alafenamide fumarate (TAF) 25 mg
Emtricitabine (FTC) 200 mg
Dolutegravir (DTG) 50 mg
สูตรที่ใช้อยู่ Teevir ประกอบด้วย
Tenofovir disoproxil fumarate (TDF) 300 mg
Emtricitabine (FTC) 200 mg
Efavirenz (EFV) 600 mg
บทนำเกี่ยวกับกระบวนการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวี
ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จำเป็นต้องใช้หลายตัวผสมกัน เนื่องจากไวรัสเอชไอวีมีความซับซ้อนในกระบวนการแบ่งตัว ไวรัสเอชไอวีจัดอยู่ในประเภท retro virus สังเกตจากกระบวนการถอดรหัสพันธุกรรมของมัน จาก RNA ต้นแบบเป็น DNA ซึ่งเหมือนเป็นการย้อนกระบวนการ โดยมันอาศัยทรัพยากรณ์ต่างๆในเซลล์เม็ดเลือดขาวในการสร้างตัวใหม่ของมันซึ่งประกอบด้วยหลายขั้นตอน ทั้งภายในนิวเคลียสและองค์ประกอบอื่นของเซลล์ ดังนั้นยาเพียงตัวเดียวจึงไม่พอที่จะไปยับยั้งการแบ่งตัวใหม่ของไวรัส กระบวนการคร่าวๆของการแบ่งตัวไวรัส มีดังนี้ (1) (แสดงในรูปที่ 1)
รูปที่ 1 ขั้นตอนการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวีเมื่อเข้าไปที่เซลล์เป้าหมาย
Source: Gandhi M, Gandhi RT. Single-pill combination regimens for treatment of HIV-1 infection. N Engl J Med. 2014;371:248-59.
© 2014 Massachusetts Medical Society. Figure and Legend Reproduced with permission.
ยาต้านทางเลือกใหม่ของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ยาต้านสูตร Teevir ประกอบด้วย ยากลุ่ม Non nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NNRTIs) 2 ตัว ได้แก่ TDF และ Emtricitabine รวมกับยากลุ่ม Nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs) 1 ตัว คือ Efavirenz ซึ่งทั้งสามตัวในยาสูตรนี้ ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวีในกระบวนการที่ 2 (Reverse transcription)
ยาต้านสูตร Kocitaf ประกอบด้วย ยากลุ่ม Non nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NNRTIs) 2 ตัว ได้แก่ TAF และ Emtricitabine รวมกับยากลุ่ม Integrase strand transfer inhibitors (INSTIs) 1 ตัวคือ Dolutegravir
โดย TAF และ Emtricitabine ออกฤทธ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวีในกระบวนการที่ 2 (Reverse transcription) และ Dolutegravir ยับยั้งกระบวนการที่ 3 (Integration)
แนวทางการรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของประเทศไทยประจำปี 2560 ระบุว่า TDF เป็นยาต้านไวรัสพื้นฐาน ใช้ในการรักษามากที่สุดเป็นทางเลือกแรก (2) โดยทั่วไปในการใช้รักษาจะให้รับประทาน TDF ครั้งละ 1 เม็ด (300 mg) วันละ 1 ครั้ง ร่วมกับยาต้านไวรัสตัวอื่น อย่างไรก็ตามขนาดยานี้อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ซึ่งผู้รับยาต้องรับประทานทุกวันอย่างต่อเนื่อง จึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้มากขึ้นด้วย เช่น การเกิดพิษต่อไต และกระดูก ซึ่งต้องได้รับการตรวจติดตามการทำงานของไตเป็นประจำ
Tenofovir Alafenamide fumarate (TAF) เป็นยาใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ สามารถช่วยลดผลข้างเคียงต่อไต และกระดูก โดยใช้ในขนาดที่ต่ำกว่า TDF มาก
TDF vs TAF
ทั้ง TDF และ TAF ต่างก็เป็นยาที่มีโครงสร้างของ Tenofovir เหมือนกัน แต่มีโครงสร้างขององค์ประกอบคนละแบบ TDF มีโครงสร้างแบบ disoproxil fumarate ในขณะที่ TAF เป็น Alafenamide fumarate (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 โครงสร้างทางเคมีของตัวยา TFV, TDF และ TAF
การเตรียม Tenofovir ทั้งในรูป Disoproxil fumarate และ Alafenamide fumarate เป็นลักษณะที่เรียกว่า Prodrug คือเป็นสารประกอบที่ยังไม่ออกฤทธิ์ทางยาเมื่อยังอยู่ภายนอกร่างกาย แต่จะเปลี่ยนรูปเป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ในที่นี้ Prodrug ทั้งสองจะถูกเปลี่ยนให้เป็น Tenofovir ก่อน และเข้าสู่กระบวนการ Phosphorylation จนกลายเป็น Tenofovir diphosphate ซึ่งเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ แต่กลไกการออกฤทธิ์ของยาทั้งสองรูปแบบมีความแตกต่างกันดังนี้
เมื่อ TDF เข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนในพลาสม่าเป็น Tenofovir จากนั้นเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย ถึงจะถูกเปลี่ยน Tenofovir diphosphate แสดงถึงข้อด้อยของ TDF ที่ทำให้มีปริมาณ Tenofovir ในกระแสเลือดจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การเกิดพิษต่อไต Tonofovir เหลือเข้าไปในเซลล์เป้าหมายน้อย ดังนั้นขนาดยาเริ่มต้นที่ให้จึงสูงถึง 300 mg
ในขณะที่ TAF เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกขนส่งไปยังเซลล์เป้าหมายเป็นหลัก แล้วเปลี่ยนเป็น Tenofovir และ Tenofovir diphosphate ตามลำดับ จากการศึกษาพบว่า ปริมาณ TAF ในกระแสเลือดมีน้อยกว่า TDF ถึง 90% เพราะ TAF มีความจำเพาะต่อเซลล์มากกว่า ดังนั้นจึงใช้เพียง 25 mg ซึ่งต่ำกว่า TDF มาก รูปที่ 3 แสดงการเปรียบเทียบกระบวนการเปลี่ยนแปลงของยาทั้งสอง
รูปที่ 3 กระบวนการเปลี่ยนแปลง TAF และ TDF เป็น Tenofovir diphosphate ในเซลล์เป้าหมายที่มีเชื้อเอชไอวี
นอกจากขนาดยาที่ใช้ต่ำกว่าแล้วยังลดอาการข้างเคียงในระยะยาวจากการใช้ยา พบว่า การใช้ TAF ในระยะยาวมีความปลอดภัยต่อมวลกระดูกและไตมากกว่า TDF มาก อย่างมีนัยสำคัญ (3) ดังแสดงในรูปที่ 4 เป็นการเปรียบเทียบการใช้ยา PrEP ในสูตร Emtricitabine+TDF และ Emtricitabine+TAF หลังจากที่ใช้ยาไปแล้ว 48 สัปดาห์ สูตรที่มี TAF ให้ค่ามวลกระดูกที่คงที่ในขณะที่สูตร TDF ทำให้มวลกระดูกลดลง และรูปที่ 5 แสดงค่าการกรองของไต (eGFR)ที่ลดลง พบว่า TAF มีผลดีในการเปลี่ยนแปลงค่า eGFR มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (4)
รูปที่ 4 เปรียบเทียบค่ามวลกระดูกที่ลดลงเมื่อใช้ยา PrEP สูตรที่มี TAF กับสูตรที่มี TDF ในระยะ 48 สัปดาห์
รูปที่ 5 กราฟเปรียบเทียบผลของ TDF และ TAF ต่อการเปลี่ยนแปลงค่า eGFR
ประสิทธิภาพของการยับยั้งเชื้อไวรัสเอชไอวี ระหว่าง TAF และ TDF ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (5)
ดังแสดงในรูปที่ 6
รูปที่ 6 กราฟเปรียบเทียบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อเอชไอวีของ TDF และ TAF
อย่างไรก็ตามพบว่า TAF ยังมีข้อเสียเรื่องการเพิ่มระดับไขมันในเลือด (4) มีผลเพิ่มระดับ Total Cholesterol, LDL-C และ triglyceride มากกว่า TDF เมื่อรับยาไป 48 สัปดาห์ แสดงตารางที่ 1
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบผลของ TAF และ TDF ต่อระดับไขมันประเภทต่างๆ
สูตรยาใหม่กว่าช่วยลดอาการข้างเคียง ?
ยาต้านไวรัสในปัจจุบันยังไม่มีตัวใดสามารถรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้หาดขาด จึงจำเป็นต้องรรับประทานยาไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงต้องพัฒนายาต้านที่สามารถรับประทานได้ง่าย ผลข้างเคียงน้อย และประสิทธิภาพการรักษาสูง เพื่อให้ผู้รับประทานยามีความร่วมมือในการรักษา อีกทั้งช่วยป้องกันภาวะภูมิคุ้มกันลดลงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งนำมาสู่การเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ยาต้านไวรัสเอชไอวีสูตรที่นิยมใช้เป็นทางเลือกหลักในประเทศไทยคือ NRTI+NNRTI-based regimen ได้แก่ยี่ห้อ Teevir พบว่ายังมีผลข้างเคียง เช่น เมื่อรับประทานยา efavirenz อาจเกิดอาการมึนศีรษะ ง่วงนอน ฝันร้าย รวมถึงอาจเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะจิตผิดปกติได้
ตามแนวทางการักษาในปัจจุบันจากองค์การอนามัยโลก ประเทศสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม Integrase inhibitors-based regimen เป็นทางเลือกหลัก เนื่องจากมีผลการศึกษารรับรองประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงน้อยกว่า รวมถึงไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง ในประเทศไทยมียาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยาทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่ Raltegravir (RAL), Elvitegravir (EVG), และ Dolutegravir (DTG) ซึ่งยาตัวใหม่ที่อาจจะเข้ามาเสริม หรือเป็นทางเลือกใหม่แทนที่ Teevir คือ Kocitaf ซึ่งประกอบด้วย Dolutegravir
Dolutegravir (DTG) (6)
เป็นยากลุ่ม Integrase inhibitors รุ่นที่สอง ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ในปี ค.ศ.2013 คุณสมบัติทนต่อการดื้อยาของไวรัสเอชไอวีได้สูง ยามีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดเดี่ยวคือ Tivicay 10, 25, และ 50 mg และรูปแบบเม็ดรวมยี่ห้อ Triumeq ประกอบด้วย Abacavir 600mg, Lamivudine 300mg,Dolutegravir 50 mg
เภสัชจลศาสตร์ของยา Dolutegravir จับกับโปรตีนในเลือดมากกว่า 98.9% ค่าปริมาตรการกระจายตัวของยาเท่ากับ 17.4 ลิตร ค่าครึ่งชีวิตในเลือดเท่ากับ 14 ชั่วโมง ยานี้มี metabolism ผ่านทาง UGT1A1 และบางส่วนผ่านทางเอนไซม์ CYP3A ดังนั้นยาที่มีผลกับ CYP3A เมื่อใช้ร่วมกับ dolutegravir ก็จะส่งผลต่อระดับ dolutegravir ในร่างกายด้วย ตัวอย่างเช่น ยาลดกรดหรือยาที่มีไอออนหลายประจุทำให้ระดับ dolutegravir ลดลงได้ ยาถูกกำจัดทางอุจจาระ 53%
พบว่า อาหารที่รับประทานร่วมกับยานี้ เพิ่มปริมาณการดูดซึมยา แต่ลดอัตราเร็วในการดูดซึมยา แต่ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก ดังนั้น อาจรับประทานยานี้ร่วมกับอาหารหรือไม่ก็ได้
ปฏิกิริยาระหว่างยา Dolutegravir และยา Metformin (รักษาเบาหวาน) พบว่า ทำให้ระดับยา Metformin เพิ่มสูงขึ้น 2.4 เท่า และมีค่าระดับยา Metformin สูงสุดเพิ่มขึ้น 2 เท่า
การรับประทาน Dolutegravir ร่วมกับ Rifampicin (รักษาวัณโรค) พบว่า Rifampicin ลดระดับยา Dolutegravir ถึง 54% ดังนั้นอาจต้องเพิ่ม dolutegravir 50 mg ที่เดิมรับประทานวันละครั้ง เป็นวันละ 2 ครั้ง
ผลข้างเคียงของ Dolutegravir เช่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ เกิดภาวะซึมเศร้าได้ในผู้ป่วยที่มีประวัติปัญหาทางจิตเวช สตรีมีครรภ์ควรระวัง โดยเฉพาะที่อายุครรภ์ไม่ถึง 8 สัปดาห์ หากยังไม่ได้เริ่มยาต้านไวรัส แนะนำให้เริ่มด้วยยาต้านสูตรอื่นแทน ส่วนที่อายุครรภ์เกิน 8 สัปดาห์สามารถรับยา Dolutegravir ได้โดยการติดตามจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
ข้อห้ามใช้ (7) DTG มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่
ข้อมูลทางคลินิกของ Dolutegravir
ในการศึกษาเพื่อขอขึ้นทะเบียนยา พบว่าผู้ป่วยทนต่อ DTG ได้ดีกว่า efavirenz (EFV) หรือ darunavir/ritonavir (DRV/r) ถึงแม้มีความเสี่ยงต่ออาการนอนไม่หลับสูงขึ้น แต่ผลข้างเคียงทางระบบประสาทส่วนกลางที่ร้ายแรง เช่น ซึมเศร้า และคิดฆ่าตัวตาย พบได้น้อยมาก หลังได้รับอนุมัติให้วางจำหน่าย พบว่า การ ใช้ DTG ในทางเวชปฏิบัติ มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติการณ์ของผลข้างเคียง ทางจิตประสาทสูงกว่าที่พบในการศึกษาทางคลินิก
การศึกษาแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วย 1950 ราย ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเริ่มใช้ยากลุ่ม integrase inhibitor ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2559 ประมาณการจากอัตราการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆ และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางจิตประสาท ซึ่งนำ ไปสู่การหยุดยาภายใน 12 เดือน โดยที่ DTG อยู่ที่ร้อยละ 7.6 และ 5.6 จากการศึกษายังพบ ว่าเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางจิตประสาทที่นำไปสู่การหยุดยา DTG เกิดขึ้นบ่อย ครั้งในกลุ่มสตรี ผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป และผู้ป่วยที่มี human leucocyte antigen (HLA)-B*5701 เป็นลบ ที่เริ่มใช้ยา ABC พร้อมๆ กัน (7)
องค์การอนามัยโลก ได้ออก Update of recommendations on first- and second-line antiretroviral regimens Policy brief 22 July 2019 แนะนำให้ใช้ Dolutegravir มากกว่า Efavirenz (8) เนื่องจาก เกิด drug–drug interactions น้อยกว่า มี viral suppression เร็วกว่า มี higher genetic barrier ต่อการเกิดการดื้อยา และมีฤทธิ์ต่อ HIV-2 มากกว่า แม้ยา Dolutegravir อาจทำให้น้ำหนักเพิ่ม แต่ในประเด็น เรื่อง การเกิด neural tube defect ในทารกของประเทศ Botswana นั้นข้อมูลยังไม่ชัดเจน และจากการศึกษา เปรียบเทียบกับ efavirenz-based ไม่พบความแตกต่างกัน รวมถึง อุบัติการณ์ในประเทศอื่น ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น
สรุปข้อมูลเปรียบเทียบยา 2 สูตร
Teevir | Kocitaf | |
ส่วนประกอบ | TDF 300 mg FTC 200 mg EFV 600 mg | TAF 25 mg FTC 200 mg DTG 50 mg |
ประเภทยาที่ออกฤทธิ์ตามกลไก | 2 of NNRTIs + 1 NNRTI | 2 of NNRTIs + 1 INSTI |
Tenofovir Prodrug | Tenofovir disoproxil fumarate (TDF) | Tenofovir alafenamide fumarate (TAF) |
การออกฤทธิ์ของ TNF | TDF เปลี่ยนเป็น TNF ในพลาสม่า เหลือส่วนน้อยที่เข้าเซลล์เป้าหมายแล้วเปลี่ยนเป็น TNF-DP | TAF ส่วนใหญ่เข้าเซลล์เป้าหมายเลย และเปลี่ยนเป็น TNF และ TNF-DP ตามลำดับ |
ผลต่อไต กระดูก ในระยะยาว(เกิน 2 ปี) | มีผลการทำงานของไต และมวลกระดูกบางลง | มีผลต่อการทำงานของไต และมวลกระดูกน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ |
ผลต่อระดับไขมันในเลือด | เพิ่มระดับ | เพิ่มระดับ |
ผลของอาหารต่อการดูดซึมยาเมื่อรับประทานพร้อมกัน | อาหารไขมันสูงเพิ่มการดูดซึมยา จึงควรกินยาตอนท้องว่างเพื่อลดอาการคลื่นไส้ จากปริมาณยาที่ดูดซึมมากเกินไป | เพิ่มการดูดซึมยาแต่ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก สามารถกินยาร่วมหรือไม่ร่วมกับอาหารได้ |
ผลของการใช้ร่วมกับฮอร์โมนเพศหญิง/ยาคุมกำเนิด | อาจลดประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดและยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (9) | ไม่มีผล (10) |
น้ำหนักตัว | มีผลน้อย | น้ำหนักอาจเพิ่ม |
การใช้ในหญิงมีครรภ์ | หลีกเลี่ยงใน 12 สัปดาห์แรกของครรภ์ | หลีกเลี่ยงใน 8 สัปดาห์แรกของครรภ์ |
ผลข้างเคียงเมื่อเริ่มใช้ยา | ปวดศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่่วน อาเจียน ท้องเสีย เหนื่อย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ง่วงนอน มีปัญหาในการนอนหลับ ขาดสมาธิ หรือฝันผิดปกติ | นอนหลับยาก (insomnia) และปวดศีรษะ |
ภาวะซึมเศร้าเมื่อใช้นาน | มีผล (9) | มีผลน้อย (7) |
ปฏิกิริยากับยาอื่น (Drug interactions) | มากกว่า Kocitaf | น้อยกว่า Teevir |
การกดเชื้อไวรัส (Viral suppression) | ช้ากว่า Kocitaf | เร็วกว่า Teevir |
โอกาสดื้อยา | สูงกว่า Kocitaf | ต่ำกว่า Teevir |
การออกฤทธิ์ต่อ HIV-2 | น้อยกว่า Kocitaf | ต่ำกว่า Teevir |
ตัวย่อ
FTC = Emtricitabine, EFV = Efavirenz, DTG = Dolutegravir, NNRTIs = Non nucleotide reverse transcriptase inhibitors, NNRTI = Nucleotide reverse transcriptase inhibitors, INSTI = Integrase strand transfer inhibitors, TNF-DP= Tenofovir diphosphate
แหล่งอ้างอิง
Timeline ประวัติศาสตร์ การมีตัวตน
ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQA+++)
ในประเทศไทย
ในอดีตหลังพุทธกาล
สมัยอยุธยา
สมัยรัตนโกสินทร์
ยุคเริ่มต้นประชาธิปไตย
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ยุคสื่อสิ่งพิมพ์เฟื่องฟู
ยุคสื่อแพร่หลายจนถึงยุคปัจจุบัน
ที่มา
Chemsex กับสิ่งที่ต้องคำนึง
Chemsex คืออะไร?
ปัจจัยที่ทำให้คนใช้ chemsex
Chemsex ทำอย่างไรกับร่างกาย
สารเคมีที่ใช้เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเพศนั้น มีการทำงานผ่านระบบประสาทและสมอง จึงขออธิบายที่มาที่ไปของระบบที่ตอบสนองดังนี้
1. สมอง คือ อวัยวะที่ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย สมองทำให้เรามีความสามารถในการรับรู้จดจำ รู้สึกนึกคิด แสดงอารมณ์ และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะสมอง คือ อวัยวะสำคัญของระบบประสาทส่วนกลางมีการหลั่งสารเคมีชนิดต่าง ๆที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (Neurotransmitters) เพื่อเป็นตัวนำสัญญาณประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง หรือเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ โดยการส่งสัญญาณจะเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างเซลล์เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น การทำงานของระบบประสาทก็จะเกิดความสมบูรณ์
2. สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)คือ สารเคมีที่ส่งสัญญาณประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง สารสื่อประสาทมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ และควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งหากสูญเสียความสมดุลจะทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพ หรือ ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรคพาร์กินสัน โรคอ้วน โรคนอนไม่หลับ เป็นต้น สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทเมื่อมีการกระตุ้นโดยสัญญาณประสาท ตัวส่งสารสื่อประสาทจะหลั่งสารสื่อประสาทออกมาในปริมาณที่เหมาะสมเป็นระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นสารสื่อประสาทจะถูกดูดกลับเพื่อการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือ ย่อยสลาย หรืออาจติดอยู่กับตัวรับเลยก็ได้ โดยสารสื่อประสาทในร่างกายมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรมบุคลิกภาพ และ ลักษณะนิสัยรวมถึง ระบบการทำงานของร่างกาย โดยมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทแต่ละชนิด รวมถึงการ มีความรักหรือความสัมพันธ์ทางเพศ และ การใช้สารเสพติด
สารสื่อประสาท | ||||
สารสื่อประสาทและหน้าที่ | สิ่งกระตุ้นทั่วไป | สารสื่อประสาทกับความสัมพันธ์ทางเพศ | หากปริมาณต่ำเกินไป | หากปริมาณมากเกินไป |
เอนโดฟิน เป็นยาระงับความปวดตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาความเครียด สร้างความรู้สึกเพลิดเพลินเป็นสุข เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและมีส่วนช่วยในการควบคุมให้อยากอาหารน้อยลง | คือ การได้ทำกิจกรรมที่ชอบหรือ พึงพอใจเช่นการออกกำลังกายการเล่นดนตรี การสร้างสรรค์งานศิลปะการนวดการดูทีวี หรือการรับประทานอาหาร | การสัมผัสคนรักการแสดงความรัก หรือในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ | มีอาการซึมเศร้าวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว ปวดเมื่อย หรือนอนไม่หลับ | – |
อะดรีนาลิน ความจำเป็นต่อกระบวนการย่อยสลายดูดซึมสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงานสำหรับร่างกายทำให้หัวใจแข็งแรงและทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อมากขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความเครียด | การทำกิจกรรมที่มีความท้าทายความเสี่ยง หรือมีความตื่นเต้น รวมถึงการลุ้นผลรางวัล การเล่นการพนัน | การจีบคนที่เรามีความสนใจเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ หรือเพื่อต้องการให้อีกฝ่ายตอบรับ | – | หากอะดรินาลินมีระดับผิดปกติ จะมีผลต่อความวิตกกังวล การนอนหลับ อารมณ์ ความดันเลือดสูง |
โดปามีน มีบทบาทต่อการเรียนรู้การจดจำ ทักษะต่าง ๆการนอนหลับ ระบบภูมิคุ้มกัน ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สมาธิในการทำงาน การมองโลกในแง่ดี อารมณ์ที่พึงพอใจความรู้สึกรักและยินดี รวมถึงช่วยควบคุมการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวและอารมณ์ | โดปามีนจะมีการหลั่งได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในช่วงอายุ 12-30 ปี เนื่องจากเป็นช่วงของวัยเจริญพันธุ์การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น นม ไข่เนื้อสัตว์ หรือธัญพืชต่างๆ | ช่วงเวลาที่ถึงจุดสุดยอดของการมีเพศสัมพันธ์ | โรคพาร์กินสัน โรคซึมเศร้า | การย้ำคิดย้ำทำอารมณ์ร้อนหรือทำให้เกิดโรคจิตเภท |
เซโรโทนิน ประมาณ 80-90% จะถูกสร้างและอยู่ที่ระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ที่เหลือจะสร้างที่สมอง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึกช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ เป็นมิตรควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดความอยากอาหาร การนอนหลับความปรารถนาทางเพศ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพิ่มความดันเลือดความทรงจำและการเรียนรู้ | มีการหลั่งเองตามธรรมชาติของร่างกายและ การทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นมไข่ถั่วเหลือง ปลาทูน่า รวมถึง การออกกำลังกาย และการรับแสงแดดอ่อนๆ | ขณะที่อยู่ในสภาวะอารมณ์ของการชอบพอหลงใหล หรือตกหลุมรัก | ความเครียดวิตกกังวล อยู่ไม่สุข ไม่มีสมาธิโกรธง่ายหงุดหงิด และบางครั้งก็แสดพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรง อาการซึมเศร้า ไมเกรน และเกิดแนวโน้มการฒ่าตัวตายได้ รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวันมากกว่าตอนกลางคืน ความต้องการทางเพศลดลง นอนไม่หลับ | กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขคลื่นไส้และอาเจียนสับสนเพ้อ เห็นภาพหลอน หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ มีไข้สูงมากกว่า 40 องศา กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกจนเกิดอาการชัก |
นอร์อะดรีนาลิน เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำตาลกลูโคสสู่กระแสเลือดมากขึ้นเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้สมองตื่นตัวเพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองในภาวะคับขันและ ทำให้มีสมาธิ มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืน และตอนตื่นนอน | มีการหลั่งเมื่อร่างกายอยู่ในสถานการณ์คับขัน ภาวะกดดัน หรือมีอันตรายและการหลั่งตามธรรมชาติในเวลากลางวันและหลั่งลดลงในเวลากลางคืน | มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืนและ ตอนตื่นนอน | โรคสมาธิสั้น โรคซึมเศร้าความดันเลือดต่ำ | หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูงอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเกิดความรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป |
สารเสพติดและชื่อเรียกในกลุ่มผู้ใช้ยา
สารเสพติด | ชื่อเรียกในกลุ่มผู้ใช้ |
ยาไอซ์ (Methamphetamine) | ตัวใหญ่/ น้ำแข็ง /งาน/ สเก็ต/ ไฮ/ บิน |
ยาอี/ยาเลิฟ (Ecstasy)/Methylenedioxymethamphetamine (MDMA) | ขนม / อี / MDMA |
ยาบ้า (Amphetamine) | ตัวเล็ก/ ยาม้า / ม้า / สปีด |
เคตามีน (Ketamine) | เค |
ป๊อปเปอร์ (Alkyl nitrites) | ป๊อปเปอร์ |
ซาแน็กซ์ (Alprazolam) | ยาแมว / แมว / แน็กซ์ / มาโน่ |
GHB (Gamma hydroxybutyrate) | GHB |
สารเสพติดทำงานกับสมองของเราอย่างไร
สารเสพติด | ผลต่อสารสื่อประสาท |
สารเสพติดทุกชนิด | เพิ่ม เอนโดฟิน เอนโดฟินเป็นยาระงับความปวดตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาความเครียด สร้างความรู้สึกเพลิดเพลินเป็นสุข เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและมีส่วนช่วยในการควบคุมให้อยากอาหารน้อยลง |
สารเสพติดทุกชนิด | อะดรีนาลีน สูงขึ้นในขณะที่กำลังรอสารเสพติดเข้าร่างกาย อะดรีนาลีนมีความจำเป็นต่อกระบวนการย่อยสลายดูดซึมสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงาสำหรับร่างกาย ทำให้หัวใจแข็งแรงและทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อมากขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความเครียด |
เฮโรอีน, ยาไอซ์, โคเคน, ยาอี, GHB | เพิ่ม โดปามีน โดปามีนมีบทบาทต่อการเรียนรู้การจดจำ ทักษะต่าง ๆ การนอนหลับ ระบบภูมิคุ้มกัน ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สมาธิในการทำงาน การมองโลกในแง่ดี อารมณ์ที่พึงพอใจ ความรู้สึกรักและยินดี รวมถึงช่วยควบคุมการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวและอารมณ์ |
ยาอี , ยาไอซ์ | เพิ่ม เซโรโทนิน เซโรโทนินประมาณ 80-90% จะถูกสร้างและอยู่ที่ระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ที่เหลือจะสร้างที่สมอง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ เป็นมิตร ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด ความอยากอาหาร การนอนหลับ ความปรารถนาทางเพศ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพิ่มความดันเลือด ความทรงจำและการเรียนรู้ |
ยาอี , ยาไอซ์ | เพิ่ม นอร์อะดรีนาลิน นอร์อะดรีนาลีนมีหน้าที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ กระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำตาลกลูโคสสู่กระแสเลือดมากขึ้น เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้สมองตื่นตัว เพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองในภาวะคับขันและ ทำให้มีสมาธิ มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืน และ ตอนตื่นนอน |
ผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารเสพติดต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
ยาไอซ์ (Methamphetamine)
วิธีการใช้ สูบ, ฉีด
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายใจมีสมาธิสดชื่น ตื่นตัว ลดความอยากอาหารไม่ง่วงนอน
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นหรือผิดปกติ ความดันเลือดสูงขึ้น อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ปากแห้งและมีกลิ่นปาก เหงื่อออกมาก ระดับสายตาเปลี่ยนแปลง เสี่ยงต่อภาวะร่างกายขาดน้ำ กรณีหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
กรณีใช้ด้วยวิธีการฉีด อาจเกิดการบาดเจ็บจากการฉีดที่ไม่ถูกต้อง และ มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีและ ไวรัสตับอักเสบซี หากมีการใช้เข็มและอุปกรณ์การฉีดยาร่วมกัน รวมถึงความเสี่ยงจากการใช้ยาเกินขนาด
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
ผลจากการใช้ยา บางรายอาจพูดมากขึ้น คึกคักกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว จนอาจส่งผลรบกวนผู้อื่น และบางรายอาจคึกคะนองจนทำพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
การหยุดใช้ยา : อาจมีอาการซึมเศร้า รู้สึกวิตกกังวลอยู่ไม่สุข ไม่มีสมาธิโกรธง่ายหงุดหงิด และบางครั้งก็แสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว
ผลกระทบทางสังคม
หลังการใช้ยาไอซ์ร่างกายของผู้ใช้จะต้องการการนอนหลับเป็นระยะเวลาที่มากขึ้นเพื่อชดเชยในช่วงเวลาที่เคยอดนอน และผลจากการที่ร่างกายนำพลังงานที่สะสมไว้มาใช้ ซึ่งในกรณีนี้จะส่งผลให้ผู้ใช้ยาไอซ์ไม่สามารถหยุดพักการใช้ยาไอซ์ได้หากจำเป็นต้องกลับไปทำงาน หรืออาจส่งผลให้ไปทำงานสาย และการหลับในเวลาทำงานหรืออาจส่งผลให้ลืมกินยาต้านหรือลืมกินPrEP ได้
ยาอี/ Ecstasy (Methylenedioxymethamphetamine : MDMA)
วิธีการใช้ กิน
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
ผู้ใช้รู้สึกมีความสุขสดชื่นตื่นตัว รู้สึกดีกับตัวเอง มั่นใจในตัวเอง รู้สึกไว้วางใจและพึงพอใจในผู้อื่น ต้องการเข้าสังคมหรือทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับผู้อื่น
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูง อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น กล้ามเนื้อแข็งเกร็งกระตุกจนเกิดอาการชัก
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
ผลจากการใช้ยา : เกิดความรู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุขคลื่นไส้และอาเจียนสับสน เพ้อ เห็นภาพหลอน
พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
หลังการใช้ หรือ การหยุดใช้ยาอี อาจส่งผลต่อความรู้สึกซึมเศร้า ไม่มั่นใจหรือไม่สนุกในการเข้าสังคม รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
GHB (Gamma hydroxybutyrate)
วิธีการใช้ กินโดยผสมเครื่องดื่ม
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสงบ เกิดอาการเคลิ้มสุข
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาเจียน กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่ เกิดภาวะกายใจไม่สงบ และการชัก หรือการสลบ หมดสติ การใช้ยาเกินขนาดอาจจะทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากตัวยาเป็นน้ำจึงคำนวณปริมาณการใช้ได้ยาก และตัวยาที่เป็นน้ำ ก็สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วมากขึ้น
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
การหยุดใช้ยาอาจส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีอาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ รู้สึกสับสน
พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
การใช้ GHB ในงานปาร์ตี้สังสรรค์ โดยเฉพาะการใช้ยาผสมเครื่องดื่มซึ่งไม่ได้ผสมยาด้วยตัวเอง อาจหมดสติและโดนล่วงละเมิดทางเพศได้
ป๊อบเปอร์ ( สารประกอบประเภท Alkyl nitrites)
วิธีการใช้ กินโดยผสมเครื่องดื่ม
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
มีผลต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อรวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด ,ช่องทวารหนัก , ลำคอและทำให้หลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นทันทีทั่วร่างกายจึงทำให้เกิดความรู้สึกร้อนและตื่นเต้น
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
การสูดดม : อาจทำให้เกิดรอยไหม้ ผิวหนังลอกบริเวณจมูกและปาก เยื้อบุโพรงจมูกถูกทำลายการระคายเคืองภายในลำคอ เวียนหัว
การใช้ยาในปริมาณที่มากไป : อาจส่งผลให้ความดันเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว การใช้ป๊อปเปอร์ ร่วมกับยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ : เช่น ไวอากร้า ซึ่งการออกฤทธิ์มีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือดเช่นเดียวกันอาจส่งผลให้ความดันเลือดลดลงอย่างรุนแรง ผู้ใช้อาจมีอาการหน้ามืดเป็นลม หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหัวใจและหลอดเลือดซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
การใช้ป๊อปเปอร์ร่วมกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ อาจส่งผลให้รู้สึกมีความสุขทางเพศลดลงเนื่องจาก ป๊อปเปอร์มีผลต่อการไหลเวียนของเลือดทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกร้อนวูบวาบ จึงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ป๊อปเปอร์ช่วยลดความเจ็บระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
ไม่มีข้อมูล
ซาแน็กซ์ ( Xanac : Alprazolam)
วิธีการใช้ กิน
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสงบ ความวิตกกังวลลดลง มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
การใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป ผู้ใช้อาจไม่รู้สึกตัวแต่ยังคงพูดคุยหรือทำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นปกติโดยที่ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวและจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ หรือสูญเสียความทรงจำชั่วคราวมีบุคลิกที่เปลี่ยนแปลง การพูดหรือถามเรื่องเดิมซ้ำ ๆและอาจเดินเซ เหมือนคนเมาเหล้า และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
หากใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน แล้วหยุดใช้ยาทันทีอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและบางรายมีอาการชักมีความรู้สึกไม่มั่นใจในการเข้าสังคม หรือ การทำสิ่งแปลกใหม่
พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
การใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป ผู้ใช้อาจไม่รู้สึกตัว แต่ยังคงพูดคุยหรือทำสิ่งต่าง ๆได้เป็นปกติ แต่อาจมีบุคลิกที่เปลี่ยนแปลงเช่น พูดมากขึ้น การพูดหรือถามเรื่องเดิมซ้ำ ๆโดยจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ และ มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและมีผลต่อภาพลักษณ์ทางสังคม
ยาเค (Ketamine)
วิธีการใช้ สูดดม เหมือนยานัตถุ์
ผลเชิงบวกที่ผู้ใช้คาดหวัง
ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มสลับกับมึนงงคล้ายเมาสุรา
ผลกระทบทางลบต่อร่างกาย
ระหว่างการออกฤทธิ์ผู้ใช้อาจมีอาการตาแข็ง ตัวแข็งเดินเซ พูดลิ้นพันกัน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูงขึ้น หากได้รับยาในปริมาณมากเกินขนาด อาจทำให้เกิดอาการจิตเตลิดและอาละวาด รวมถึงอาจเกิดอาการชัก การใช้ยาปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้มีการมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ หรือมีเลือดออกจากกระเพาะปัสสาวะ บางรายอาจต้องผ่าตัดเพื่อใช้กระเพาะปัสสาวะเทียม
ผลกระทบทางลบต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม
การใช้ยาเคร่วมกับสารกระตุ้นประสาท เช่นยาไอซ์ ยาอี ยาบ้า ป๊อปเปอร์ อาจทำให้ชีพจรและความดันเลือดสูงขึ้น ผู้ใช้ยาอาจรู้สึกวิตกกังวลและกระวนกระวาย
พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง
ผู้ใช้มีการใช้ยาเคซ้ำๆหรือใช้ยาอย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ยาอาจส่งผลให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือ ไม่คุ้นชินเมื่อทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่ได้ใช้ยาเค รวมถึงอาจหงุดง่าย โมโหง่ายและอาจมีภาวะซึมเศร้า
ที่มา
จารุณี ศิริพันธุ์ สุพจน์ ตั้งเสรีทรัพย์ พีราณี ศุภลักษณ์,CHEMSEX 101.เรียนรู้ เข้าใจ เพื่อป้องกันและลดอันตรายที่เกิดจากการใช้ Chemsex ในประเทศไทย. สนับสนุนโดย LINKAGES Thailand FHI 360