วิธีการ
การศึกษาในครั้งนี้เป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและปกปิดสองชั้น (Randomized double-blind clinical trial) โดยมีผู้ป่วย 30 คนที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่แม้ระดับไวรัสจะถูกกดแล้ว แต่ยังมีภาวะล้มเหลวทางภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเท่าๆ กัน กลุ่ม A ได้รับยาหลอก กลุ่มB ได้รับแคปซูลโปรไบโอติก 2 แคปซูลต่อวัน โดยมีจำนวนโคโลนี 10⁹ CFU ต่อแคปซูลซึ่งมีเชื้อจุลินทรีย์ 7 สายพันธุ์ หลังจาก 3 เดือน ได้ทำการตรวจสอบจำนวน CD4+ โดยวิธีโฟลไซโตเมทรี และหลังจากช่วงเวลาล้างยาหนึ่งเดือน ทำการทดลองสลับกันโดย ผู้เข้าร่วมที่เคยได้รับโปรไบโอติกได้รับยาหลอก และผู้เข้าร่วมที่เคยได้รับยาหลอกก็ได้รับโปรไบโอติกเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นพวกเขาได้รับการตรวจสอบจำนวน CD4+ 7 เดือนหลังจากเริ่มการศึกษา
ผลลัพธ์
ในกลุ่มแรก (A) การให้ยาหลอกส่งผลให้จำนวน CD4 ลดลงในช่วง 3 เดือนแรก (จาก 202.21 เป็น 181.79, ค่า p < .001) ซึ่งอาจเกิดจากลักษณะการดำเนินของโรค หลังจากการให้โปรไบโอติก จำนวน CD4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 181.79 เป็น 243.86, ค่า p < .001) โดยรวมแล้ว หลังจากการศึกษา 7 เดือน มีการเพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ย CD4 อย่างมีนัยสำคัญจาก 202.21 เป็น 243.86 (ค่า p < .001)
ในกลุ่มที่สอง (B) การให้โปรไบโอติกในช่วง 3 เดือนแรกของการศึกษา ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย CD4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 126.45 เป็น 175.73, ค่า p < .001) เมื่อหยุดให้โปรไบโอติกส่งผลให้จำนวน CD4 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 175.73 เป็น 138.9, ค่า p < .001) แต่โดยรวมแล้วจำนวน CD4 เมื่อสิ้นสุดการศึกษายังคงสูงกว่าระดับเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < .001)
สรุปผลการศึกษา
การใช้โปรไบโอติกเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและปรับปรุงภูมิคุ้มกันของเนื้อเยื่อเกี่ยวข้องกับลำไส้ในผู้ติดเชื้อ HIV โดยการปรับฟังก์ชันของเกราะป้องกันเยื่อบุผิวและองค์ประกอบของ Microbiota สามารถนำไปสู่การเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4+ ในผู้ป่วย HIV ที่มีความล้มเหลวทางภูมิคุ้มกัน การให้โปรไบโอติกทุกวันในขนาดที่เหมาะสม (สองแคปซูลที่มีจำนวนโคโลนี 10⁹ CFU ในการศึกษาของเรา) แก่ผู้ป่วย HIV ที่ยากดเชื้อได้แต่ภูมิคุ้มกันยังต่ำ ส่งผลให้จำนวนเซลล์ CD4+ เพิ่มขึ้นชั่วคราว
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
เช็คก่อนตรวจ
วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี (Zero HIV Stigma Day)
“Human First” เป็นหัวข้อรณรงค์ วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวีในปี 2023 เพื่อเน้นย้ำมิติความเป็นมนุษย์ของผู้ที่มีเอชไอวีและได้รับผลกระทบจากเอชไอวี ที่ควรได้รับสิทธิความเป็นมนุษย์เฉกเช่นมนุษย์ทุกคน ให้เห็นมนุษย์ ไม่ใช่เห็นแต่ไวรัส และการเลือกปฏิบัติใดๆ ต่อผู้มีเอชไอวีควรถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ข้อเสนอเพื่อการขจัดการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี https://zerohivstigmaday.org/wp-content/uploads/2023/07/ZeroHIVStigmaDay_Toolkit.pdf
ความเป็นมา
วันที่ 21 กรกฎาคม ได้รับการเลือกและเสนอให้เป็นวันสร้างความตระหนักเรื่องการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี เพื่อเป็นเกียรติให้กับคุณ พรูเด็นซ์ โนบันตู มาเบเล่ (Prudence Nobantu Mabele) หญิงผิวดำชาวแอฟริกาใต้คนแรกที่แบ่งปันเรื่องสถานะการมีเอชไอวีให้กับสาธารณะรับรู้ เธอต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้หญิงและเด็กที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี และความรุนแรงทางเพศภาวะ คุณพรูเด็นซ์ เกิด 21 กรกฎาคม ปี 1971 ได้รับเอชไอวีปี 1990 พูดถึงสถานการณ์มีเอชไอวีของเธอในที่สาธารณะในปี 1992 และเสียชีวิตลงในวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2017 https://en.wikipedia.org/wiki/Prudence_Nobantu_Mabele
วันสร้างความตระหนักเรื่องทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี สร้างความเคลื่อนไหวไปทั่วโลก รวมผู้คน ชุมชน และประเทศทั้งหลายให้ตระหนักและลงมือปฏิบัติต่อการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี เพื่อนักกิจกรรมด้านเอชไอวีที่จากไปและเพื่อนักกิจกรรมทุกคนที่ยังคงต่อสู้กับเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง
วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี ริเริ่มในปี 2021 โดย 4 องค์กร
คัดลอกจากและนำเสนอเนื้อหาบางส่วนจาก บทความวิชาการเพื่อการศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์
เรื่อง การใช้และความปลอดภัยของฮอร์โมนสาหรับเปลี่ยนกายภาพ ทางเพศในหญิงข้ามเพศ (Use and safety of hormone treatment for transforming physical sexual appearance in transgender women)
รศ. ดร. ภญ.จุราพร พงศ์เวชรักษ์
สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความปลอดภัยของการได้รับฮอร์โมน ในหญิงข้ามเพศ
โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด [6, 8, 9]
ในภาพรวม การศึกษาเชิงระบาดวิทยาชนิด retrospective cohort หลายการศึกษาในยุโรป ติดตามผลเป็นระยะเวลา 4 ปี จนถึงตลอดชีวิต พบว่าหญิงข้ามเพศ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าหญิงทั่วไป ด้วยช่วงอัตราความเสี่ยง 1 ถึง 2.9 และมีอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจขาดเลือด 1.64 เท่า (95%CI 1.43-1.87) เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป และเพิ่มขึ้นเป็น 3.12 (95% CI, 1.28–7.63) ในกลุ่มที่ได้รับ ethinyl estradiol 100 ไมโครกรัมต่อวัน ร่วมกับ CPA 100 มิลลิกรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนหรือเคยได้รับ [18-19] ซึ่งในปัจจุบัน ethinyl estradiol ไม่มีที่ใช้ในหญิงข้ามเพศอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ทราบกันดีอยู่แล้วได้แก่ ดัชนีมวลกายที่สูง สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและการดารงชีวิตที่ไม่มีการออกแรงกาย อายุเมื่อเริ่มการใช้ฮอร์โมนเพื่อเปลี่ยนสภาพเพศ ก็มีความสาคัญต่อระยะเวลาของการมีปัจจัยเสี่ยง อย่างไรก็ตาม พบว่าหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมน มีระดับไขมันที่ดี คือ มีระดับ HDL-C เพิ่มขึ้นและระดับ LDL-C ลดลง [15, 19] เมื่อพิจารณาจากข้อจากัดของรูปการศึกษาที่เป็นข้อมูลย้อนหลังและเป็นกลุ่มประชากรยุโรป ยังไม่อาจสรุปได้ว่าหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดสูงกว่าหญิงทั่วไป และไม่อาจนามาคาดการณ์กับหญิงข้ามเพศไทยได้
การเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ พบว่าการศึกษาให้ผลที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจเนื่องจากรูปแบบการศึกษาที่แตกต่างกัน มีทั้งการศึกษาชนิด cross-sectional และการศึกษาชนิด retrospective cohort จึงทาให้การรายงานผลมีทั้งอัตราความชุก/อุบัติการณ์ และอัตราเสี่ยง รวมถึงกลุ่มเปรียบเทียบมีทั้งชายและหญิงทั่วไป [18]
ดังนั้นอุบัติการณ์ที่แท้จริงของเหตุการณ์ด้านหัวใจร่วมหลอดเลือดรวมถึงการเสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ยังต้องการการศึกษาที่มีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่และติดตามไปข้างหน้าในระยะเวลาที่นานเพียงพอ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการศึกษาที่เป็นข้อมูล real world ในยุโรป กาลังดาเนินการอยู่ต่อเนื่อง [15]
ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ [6, 8, 9]
เป็นที่ทราบกันดีว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีคุณสมบัติก่อลิ่มเลือด ทาให้เพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ ซึ่งขึ้นกับขนาดยา และปัจจัยบุคคลด้วย ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น ดัขนีมวลกายสูงกว่า 25 กก./ม.2 ปัจจัยทางพันธุกรรม ประวัติเคยเกิดลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำมาก่อน การศึกษาในหญิงข้ามเพศ หลังจากได้รับฮอร์โมนไป 2 และ 8 ปี มีความเสี่ยงต่ออุบัติการณ์ของลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำสูงกว่าบุคคลโดยทั่วไป โดยมี risk difference เมื่อเทียบกับเพศชายทั่วไป 4 (95% CI 1.6-6.7) และ 16.7 (6.4-27.5) และเมื่อเทียบกับเพศหญิงทั่วไป 3.4 (1.1-5.6) และ 13.7 (4.1-22.7) ตามลาดับ ระยะเวลาของการได้รับฮอร์โมนที่นานขึ้น การได้รับ CPA ร่วมและการได้รับเอสโตรเจนรูปแบบรับประทาน จะเพิ่มความเสี่ยง ในขณะที่รูปแบบแผ่นติดผิวหนังและเจลทาผิวหนังไม่มีผลเพิ่มความเสี่ยง ดังนั้นในหญิงข้ามเพศทุกรายที่มีปัจจัยเสี่ยง หรือในรายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป จึงแนะนําให้ใช้เอสโตรเจนรูปแบบทางผิวหนัง
การทบทวนอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์ชนิดอภิมาน ที่ประกอบด้วยข้อมูลจาก 18 การศึกษา ในหญิงข้ามเพศกว่า 10000 คน พบอัตราความชุกของเหตุการณ์ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำรวมร้อยละ 2 และความชุกสูงขึ้นตามอายุและระยะเวลาที่ได้รับฮอร์โมน หญิงข้ามเพศที่อายุเฉลี่ยไม่เกิน 37 ปี หรือได้รับฮอร์โมนไม่เกินระยะเวลา 1 ปี ไม่พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ [20]
มะเร็ง [6-9]
มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน ข้อมูลย้อนหลังในกลุ่มหญิงข้ามเพศ ประเทศเนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการได้รับฮอร์โมนต่อเนื่อง พบว่าอัตราของอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมในหญิงข้ามเพศไม่ได้สูงกว่าหญิงทั่วไป แต่สูงกว่าผู้ชายทั่วไป ดังนั้นหญิงข้ามเพศจึงควรรับการคัดกรองเช่นเดียวกับหญิงทั่วไป มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน ในหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนต้านแอนโดรเจน มีอัตราของอุบัติการณ์ต่ำากว่าในชายทั่วไป (incidence ratio 0.2, 95% CI 0.08-0.42)
กลุ่มที่ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนและยาต้านฮอร์โมนเพศชาย CPA มีรายงานความชุกของเนื้องอกต่อมใต้สมอง ชนิดที่สร้างฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactinoma) และเนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง (meningioma) สูงขึ้น ซึ่งยังไม่ทราบเหตุผล
เอกสารอ้างอิง
6. Hembree WC, Cohen-Kettenis PT, Gooren L, Hannema SE, Meyer WJ, Murad MH, Rosenthal SM, Safer JD, Tangpricha V, T’Sjoen GG. Endocrine treatment of gender-dysphoric/gender-incongruent persons: an endocrine society clinical practice guideline. J Clin Endocrinol Metab 2017; 102(11): 3869–903. doi: 10.1210/jc.2017-01658.
พล, บรรณาธิการ. คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศประเทศไทย.-พิมพ์ครั้งที่ 1.-กรุงเทพฯ : กันต์รพีเพรส จากัด. 2563. หน้า 27-44, 135-154.
Totaro M, Palazzi S, Castellini C, Parisi A, D’Amato F, Tienforti D, Baroni MG, Francavilla S, Barbonetti A. Risk of venous thromboembolism in transgender people undergoing hormone feminizing therapy: a prevalence meta-analysis and meta-regression study. Front Endocrinol 2021; 12: 741866. doi: 10.3389/fendo.2021.741866.
ก่อนอื่นมาร่วมตอบแบบสำรวจกัน
SOGIE หมายถึงรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ และการแสดงออก SOGIE มักถูกพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นของ LGBTQ แต่ไม่จำกัดเฉพาะคนกลุ่มนี้ ทุกคนมี SOGIE!
Sexual Orientation: SO หรือ รสนิยมทางเพศ หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกเชิงชู้สาว และความดึงดูดทางเพศต่อ… (หรือไม่ดึงดูดต่อ…) ทั้งในเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน เช่น เลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวลอยู่ภายใต้ร่มนี้ นั่นเป็นเพราะเราพูดถึงคนที่ดึงดูดใจ รักต่างเพศ (มักใช้คำว่า Cisgender หรือ Straight) ก็อยู่ภายใต้ร่มนี้ เป็นสัญชาตญาณที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ เป็นปกติของความเป็นมนุษย์
แม้ว่าคำว่า “เพศ” จะเป็นชื่อเรียก แต่รสนิยมทางเพศในความหมายกว้างที่สุดยังครอบคลุมถึงแรงดึงดูดทางอารมณ์และโรแมนติกด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีเพศสัมพันธ์อาจไม่ได้รับแรงดึงดูดทางเพศ พวกเขาอาจยังคงสัมผัสกับแรงดึงดูดที่โรแมนติกและยังคงสนใจในความสัมพันธ์กับผู้อื่น คำต่างๆ เช่น เฮเทอโรแมนติก (Heteromantic) โฮโมโรแมนติก (Homoromantic) และไบโรแมนติก (Biromantic) อยู่ภายใต้ร่มนี้
Gender Identity: GI หรือ อัตลักษณ์ทางเพศ หมายถึง ความสำนึกรู้และการแสดงออกทางเพศภาวะเกี่ยวกับความเป็นเพศภาวะของตัวเองซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด อัตลักษณ์เป็นเรื่องส่วนบุคคลและถูกกำหนดโดยบุคคลที่ระบุตนเองเท่านั้น The Human Rights Campaign (HRC) อธิบายอัตลักษณ์ทางเพศว่าเป็น “แนวคิดที่ลึกที่สุดเกี่ยวกับตนเองว่าเป็นเพศชาย เพศหญิง ผสมผสานกันของทั้งสองอย่าง หรือไม่มีเลย – นั่นคือปัจเจกบุคคลรับรู้ตนเองและสิ่งที่พวกเขาเรียกตนเองว่าอย่างไร”
เพศของคนๆ หนึ่งเป็นเรื่องทางชีววิทยาและมักกำหนดให้ตั้งแต่แรกเกิดโดยพิจารณาจากลักษณะทางกายวิภาคภายนอกที่สังเกตได้ ซึ่งอาจเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือเพศกำกวม ในขณะเดียวกัน เพศในสำนึกของคนเราอาจไม่จำเป็นต้องตรงกับเพศกำเนิดตนก็ได้ ตัวอย่างเช่น คนข้ามเพศจะระบุเพศตนที่ต่างกับเพศแรกเกิด
Gender Expression: GE หรือ การแสดงออกทางเพศภาวะ หมายถึงวิธีที่ “บุคคลแสดงออกหรือนำเสนอเพศของตนในที่สาธารณะ” อาจรวมถึงเสื้อผ้า พฤติกรรม ความสนใจ และลักษณะทั่วไป ซึ่งอาจมาจากการสั่งสอนของครอบครัว เช่น ผู้ชายต้องแต่งกายสีเข้ม มีความเข้มแข็ง ส่วนผู้หญิงควรไว้ผมยาว แต่งหน้า ท่วงท่าการเดิน ความอ่อนโยน
แม้ว่าการแสดงออกทางเพศจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอัตลักษณ์ทางเพศ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการแสดงออกทางเพศนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากเช่นกัน บุคคลจะเป็นผู้เลือกว่าจะแสดงออกอย่างไร การแสดงออกทางเพศของคนนั้นไม่จำเป็นต้องตรงกับความคิดของสังคมที่วางกรอบอัตลักษณ์ทางเพศที่แน่นอนของคนไว้
Sex Characteristic: SC หรือ เพศสรีระ หมายถึง ลักษณะทางเพศของบุคคลที่ติดตัวมาแต่กําเนิดซึ่งถูกกําหนดให้เป็น 2 เพศ นั่นคือ เพศหญิง และเพศชาย
การเป็น QUEER หมายถึงอะไร?
Queer เป็นคำศัพท์ SOGIE ที่สามารถอธิบายถึงรสนิยมหรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลที่ไม่ใช่เพศตามที่สังคมคุ้นเคย (นั่นคือสังคมมักกำหนดว่า Cis-Heterosexual เป็นเพศปกติ) ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เป็น Queer อาจรู้สึกดึงดูดใจต่อเพศเดียวกันเท่านั้น แต่ระบุตนเองว่าเป็น cisgender หรือ รู้สึกดึงดูดใจกับทุกเพศและระบุตนเองว่าเป็น non binary
น่าเศร้าที่ queer ถูกใช้เป็นคำดูถูกเหยียดหยาม LGBTQ ในอดีต ดังนั้นบางคนในชุมชนจึงไม่สบายใจที่จะใช้คำนี้เพื่ออธิบายตัวเอง ถึงกระนั้น หลายคนเลือกที่จะเรียกตัวเองด้วยคำนี้อย่างเต็มภาคภูมิ ทางที่ดีที่สุด ควรถามว่าพวกเขาระบุตัวตนอย่างไรก่อนที่จะพูดถึงพวกเขาว่าเป็น Queer
ความสำคัญของ SOGIE
SOGIE เป็นส่วนสำคัญของตัวตนของบุคคล ว่าเป็น queer หรือ cisgender หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้ระบุว่าตัวตนว่าเป็น straight หรือ cisgender เนื่องจากมันทำให้พวกเขามีภาษาในการแสดงออกเรื่องเพศและเพศภาวะในทางที่เหมาะสมและแท้จริงมากขึ้น
ปัจจุบัน หลายประเทศยอมรับว่าคุณลักษณะของ SOGIE ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ เพื่อให้แน่ใจว่าคนเพศทางเลือกรวมถึง queer ไม่ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม แต่กระนั้นยังมีบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ยังคงมีร่างกฎหมาย SOGIE ที่ยังไปไม่ถึงไหน (แล้วประเทศไทยล่ะ…?)
SOGIE มีไว้สำหรับทุกคน
SOGIE ดูเหมือนจะไปในทำนองเดียวกับประเด็น LGBTQ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าทุกคนมี SOGIE การทำความเข้าใจอย่างน้อยในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของ SOGIE ก็สามารถช่วยให้ทุกคนสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากขึ้นและเปิดกว้างมากขึ้นต่อกันและกัน
แหล่งอ้างอิง
เดือนมิถุนายน ของทุกปี คือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTAIQ+ (Pride Month) เรามักจะเห็นสีรุ้ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นธงสีรุ้งปลิวไสวนอกบ้านและในบาร์ ติดไว้ที่เสื้อและที่หลังกันชน ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศที่เป็นสากลและภาคภูมิใจว่า #LoveIsLove แต่ใครเป็นคนสร้างธงสีรุ้ง และทำไมมันถึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน LGBT?
ธงสีรุ้งถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1978 โดยศิลปินชาวอเมริกันผู้เป็นทั้งนักออกแบบ ทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม และนักแสดง Drag queen ชื่อว่า Gilbert Baker เขาได้รับมอบหมายให้สร้างธงโดยนักการเมืองฮาร์วีย์ มิลค์ ไอคอนเกย์อีกคน สำหรับขบวนพาเหรดงาน pride ประจำปีของซานฟรานซิสโก
Baker ได้ให้สัมภาษณ์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ในปีค.ศ.2015 ว่าความคิดเรื่องธงที่เป็นตัวแทนของชุมชนเกย์และเลสเบียนเกิดขึ้นโดยบังเอิญกับเขาเมื่อ 2 ปีก่อนที่เขาจะสรรสร้างผลงาน นั่นคือปี 1976 เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีของอเมริกา โดยสังเกตว่าสัญลักษณ์ดาวและแถบจากธงชาติอเมริกันที่เรียงกันอย่างต่อเนื่องทำให้เขาตระหนักว่าคงต้องมีอะไรสักอย่างที่สื่อถึงวัฒนธรรมสำหรับชุมชนเกย์ และในฐานะนักแสดงแดร็กซึ่งเคยชินกับการสร้างเสื้อผ้าของตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะตัดเย็บสัญลักษณ์อันโดดเด่นนี้ในไม่ช้า
ในเวลานั้น ภาพที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์ที่กำลังเติบโตคือสามเหลี่ยมสีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกนาซีใช้เพื่อระบุกลุ่มรักร่วมเพศ Baker เห็นว่าการใช้สัญลักษณ์ที่มีอดีตอันมืดมนและเจ็บปวดนั้นไม่เคยเป็นทางเลือกสำหรับเขา เขาเลือกที่จะใช้สายรุ้งเป็นแรงบันดาลใจแทน
สีที่แตกต่างกันภายในธงหมายถึงการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากชาว LGBT มาในทุกเชื้อชาติ ทุกวัย และทุกเพศ และสายรุ้งก็มีทั้งธรรมชาติและสวยงาม ธงดั้งเดิมมีแปดสี แต่ละสีมีความหมายต่างกัน ด้านบนเป็นสีชมพูสด ( Hot pink) ซึ่งเป็นตัวแทนของเพศ สีแดงสำหรับชีวิต สีส้มสำหรับการรักษา สีเหลืองหมายถึงแสงแดด สีเขียวสำหรับธรรมชาติ สีเทอร์ควอยซ์แสดงถึงศิลปะ สีครามสำหรับความสามัคคี และสุดท้ายสีม่วงที่ด้านล่างสำหรับจิตวิญญาณ
ด้วยความช่วยเหลือจากอาสาสมัครเกือบ 30 คนที่ทำงานในห้องใต้หลังคาของ Gay Community Center ในซานฟรานซิสโก Baker สามารถสร้างธงสีรุ้งชิ้นแรกโด่งดังไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน จัดแสดงครั้งแรกที่ขบวนพาเหรดวันเสรีภาพเกย์ในซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1978
หลังจากเปิดตัวการออกแบบแล้ว ผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดต่างโบกสัญลักษณ์ใหม่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างภาคภูมิ จากนั้น Baker ก็ออกแบบให้กับ Paramount Flag Company ซึ่งขายธงรุ่นที่มี 6 สี สีชมพูสดถูกตัดออกไป และสีเทอร์ควอยซ์กับสีคราม ถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินเป็นแถบสีเดียว เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานจริง หลังจากการลอบสังหารฮาร์วีย์ มิลค์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1978 ความต้องการธงสีรุ้งก็เพิ่มขึ้น ความนิยมเพิ่มขึ้นอีกครั้งในทศวรรษต่อมาเมื่อชาวฮอลลีวูดในเวสต์ฮอลลีวูดฟ้องเจ้าของบ้านเรื่องสิทธิ์ในการแขวนธงนอกบ้าน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธงสีรุ้งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจุบันมีให้เห็นทั่วโลกในฐานะตัวแทนเชิงบวกของชุมชน LGBT ธงรูปแบบยาวหนึ่งไมล์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 25 ปีของเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์ Stonewall Riots และการสร้างธงของ Baker เอง Baker เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2017 ขณะอายุ 65 ปี เพียงสองปีหลังจากการแต่งงานเพศเดียวกันถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา มรดกของเขายังคงอยู่ในธงหกสีที่โบกสะบัดอย่างภาคภูมิใจทุกเดือน Gay Pride ตระหนักถึงชีวิต และเป็นที่รักของชาว LGBT ทั่วโลก
อ้างอิงจาก
https://www.history.com/news/how-did-the-rainbow-flag-become-an-lgbt-symbol