การใช้ถุงยางที่หมดอายุแล้วปลอดภัยไหม?
ถ้าถุงยางที่หมดอายุแล้วถูกเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นอย่างเหมาะสม ก็อาจยังพอใช้งานได้อย่างปลอดภัยในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากมีทางเลือกระหว่างถุงยางที่หมดอายุกับถุงยางที่ยังไม่หมดอายุ ควรเลือกใช้ถุงยางที่ยังไม่หมดอายุเสมอ
ถ้าคุณใช้ถุงยางที่หมดอายุแล้วซึ่งอาจมีรอยฉีกขาดเล็ก ๆ หรือรูรั่ว จะไม่สามารถป้องกันการสัมผัสของของเหลวในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายความว่าคุณและคู่ของคุณมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) หรือการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
อายุการเก็บของถุงยางอนามัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 ถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและวิธีการจัดเก็บ ถุงยางที่หมดอายุแล้วมักจะแห้งและเปราะมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ถุงยางจะฉีกขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชายที่ยังไม่หมดอายุ จะมีประสิทธิภาพประมาณ 98% หากใช้อย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา ดังนั้นในความเป็นจริง ถุงยางที่ยังไม่หมดอายุมีประสิทธิภาพประมาณ 85% เท่านั้น
ตัวเลขเหล่านี้จะลดลงอย่างมากหากใช้ถุงยางที่หมดอายุแล้ว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ให้กับคุณและคู่ของคุณ
การใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุแล้วอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังหรืออาการแพ้ โดยเฉพาะถ้าผลิตจากยางลาเท็กซ์ แม้ว่าถุงยางที่หมดอายุจะมีโอกาสฉีกขาดหรือหลุดมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) หรือการตั้งครรภ์ แต่การระคายเคืองก็อาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของยางลาเท็กซ์ สารฆ่าอสุจิ หรือสารหล่อลื่นที่ใช้ในถุงยาง
รายละเอียดเพิ่มเติม:
🩺 หากคุณมีอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้หลังใช้ถุงยาง ควรหยุดใช้งานและปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ทันที และหากคุณกังวลเรื่องอาการแพ้ยางลาเท็กซ์ ควรพิจารณาใช้ถุงยางที่ไม่ใช่ลาเท็กซ์
ทำไมถุงยางอนามัยถึงหมดอายุ? ถุงยางอนามัยมีวันหมดอายุเหมือนกับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อื่น ๆ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระยะเวลาและเหตุผลที่ถุงยางหมดอายุ
🌡️ การเก็บรักษา การเสื่อมสภาพจากการเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ หรือช่องเก็บของในรถเป็นเวลาหลายปี อาจทำให้ถุงยางอ่อนแอลง จึงควรเก็บถุงยางไว้ในที่ปลอดภัย — ไม่ใช่ในห้องน้ำ — และหลีกเลี่ยงความร้อน ความชื้น และวัตถุแหลมคม
🧵 วัสดุที่ใช้ผลิต วัสดุที่เลือกใช้อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของถุงยาง วัสดุธรรมชาติอย่างหนังลูกแกะ (lambskin) จะสลายเร็วกว่าวัสดุสังเคราะห์ เช่น ยางลาเท็กซ์ (latex) และโพลียูรีเทน (polyurethane)
⚗️ สารเติมแต่ง สารเคมีอย่างน้ำยาฆ่าเชื้ออสุจิ (spermicide) สามารถลดอายุการใช้งานของถุงยางลงหลายปี โดยอาจทำให้อายุการใช้งานของถุงยางลาเท็กซ์และโพลียูรีเทนลดลงไปถึง 2 ปี
💧 สารหล่อลื่นและกลิ่นรส ยังไม่แน่ชัดว่าสารหล่อลื่นหรือกลิ่นรสที่เติมลงไปจะส่งผลต่อวันหมดอายุหรือไม่ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง หากสังเกตว่ามีร่องรอยการเสื่อมสภาพ หรือกลิ่นผิดปกติ ควรทิ้งถุงยางนั้นแล้วใช้ใหม่
ชนิดของถุงยางอนามัยมีผลต่อการหมดอายุหรือไม่? แม้ว่าจะเก็บถุงยางไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด วัสดุที่ใช้ผลิตและสารเติมแต่งก็ยังส่งผลต่ออายุการใช้งานของถุงยางได้
🧪 ลาเท็กซ์และโพลียูรีเทน ถุงยางที่ทำจากยางธรรมชาติ (ลาเท็กซ์) และโพลียูรีเทนมีอายุการใช้งานนานที่สุด สูงสุดถึง 5 ปี และมีความทนทานต่อการเสื่อมสภาพได้มากกว่าชนิดอื่น ๆ
แต่หากถุงยางชนิดนี้บรรจุพร้อมกับสารฆ่าเชื้ออสุจิ (spermicide) อายุการใช้งานจะลดลงเหลือประมาณ 3 ปี เนื่องจากสารนี้จะทำให้วัสดุเสื่อมเร็วขึ้น แม้ว่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันการตั้งครรภ์
🌱 โพลิไอโซพรีน ถุงยางที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ชนิดนี้มีอายุการใช้งานรองจากลาเท็กซ์ หากเก็บอย่างเหมาะสมจะอยู่ได้ถึง 3 ปี แต่สารเติมแต่ง เช่น spermicide ก็อาจทำให้เสื่อมเร็วขึ้น
🐑 วัสดุธรรมชาติที่ไม่ใช่ลาเท็กซ์ ถุงยางที่ทำจากหนังลูกแกะ (lambskin) หรือหนังแกะ (sheepskin) มีอายุสั้นที่สุด โดยอยู่ได้เพียง 1 ปีนับจากวันที่ผลิต ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าสารเติมแต่งจะมีผลต่อวันหมดอายุหรือไม่ และถุงยางชนิดนี้ ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
การเก็บรักษามีผลต่อวันหมดอายุหรือไม่? การเก็บถุงยางไว้ในที่ร้อนหรือชื้นอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง
แม้หลายคนจะคิดว่าการพกถุงยางไว้ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าถือเป็นเรื่องดี แต่ในแง่ของการเก็บรักษาแล้ว นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะนัก ถุงยางที่ร้อนเกินไปอาจแห้งกรอบ ทำให้ใช้งานได้ยากและประสิทธิภาพลดลง
ทางที่ดีควรใช้ กล่องเก็บถุงยาง แทนการพกพาไว้ในกระเป๋าสตางค์นะคะ
จะรู้ได้อย่างไรว่าถุงยางหมดอายุแล้ว? วันที่หมดอายุของถุงยางอนามัยมักจะระบุไว้ทั้งบนกล่องและซองฟอยล์ที่ห่อแต่ละชิ้น โดยทั่วไปจะเขียนประมาณว่า 2022-10 ซึ่งหมายความว่าถุงยางนั้นสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ได้จนถึงเดือนตุลาคม ปี 2022
ในบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังมีการระบุวันที่ผลิตด้วย แม้ว่าจะสามารถใช้วันผลิตคำนวณอายุการใช้งานได้ แต่ควรอ้างอิงจากวันหมดอายุเป็นหลักเสมอ
💡 คำแนะนำเล็กน้อย: เมื่อซื้อถุงยางครั้งแรก ควรตรวจสอบวันที่หมดอายุทันที และหากมีการเก็บถุงยางไว้นานเกิน 6 เดือน ก็ควรตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย
✅ สถานที่เก็บรักษาที่เหมาะสม ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่แห้งและเย็นภายในบ้าน ห่างจากแสงแดดโดยตรง วัตถุมีคม และสารเคมี
🚫 หลีกเลี่ยงการพกพานาน ไม่ควรเก็บถุงยางไว้ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋าถือนานเกินกว่าสองสามชั่วโมง เพราะการเสียดสีกับสิ่งของอื่น ๆ จะทำให้วัสดุสึกหรอและลดประสิทธิภาพ
🔥 ระวังความร้อนสูง ความร้อนสูง เช่น อุณหภูมิประมาณ 40°C (104°F) อาจทำให้วัสดุลาเท็กซ์อ่อนตัวหรือเหนียวผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น ข้างหน้าต่าง ใกล้เตาผิง หรือในรถยนต์
☀️ แสงยูวีทำลายวัสดุได้รวดเร็ว การสัมผัสกับแสงยูวีสามารถทำลายถุงยางภายในไม่กี่ชั่วโมง
🕵️♂️ ตรวจสอบก่อนใช้งาน
แหล่งอ้างอิง
https://www.healthline.com/health/healthy-sex/do-condoms-expire
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขอส่งข่าว สคบ. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เดือนมิถุนายน 2568
ยา Dolutegravir เป็นยาต้านเชื้อเอชไอวี ในกลุ่ม Integrase inhibitor ออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการรวมรหัสพันธุกรรมของไวรัสเข้ากับรหัสพันธุกรรมของเซลล์เม็ดเลือดขาวในมนุษย์ ( Integrase) ใช้ได้สำหรับ เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่
ในการต้านเชื้อเอชไอวีจำเป็นต้องใช้ยาหลายตัวผสมกัน ไม่สามารถใช้เพียงตัวเดียวได้ ซึ่ง จะต้องมียาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งไวรัสในกลไกที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น
แนวทางการรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของประเทศไทยปี 2564/2565 แนะนำให้ใช้สูตรยาที่มีหนึ่งในนั้นเป็น Dolutegravir เป็นส่วนประกอบสำหรับทั้งป้องกันเอชไอวี และรักษาผู้มีเชื้อเอชไอวี
ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้ มีหลากหลาย ได้แก่
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของ Dolutegravir ที่มีในประเทศไทย ได้แก่
ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับยา Dolutegravir
แหล่งอ้างอิง
วิธีการ
การศึกษาในครั้งนี้เป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและปกปิดสองชั้น (Randomized double-blind clinical trial) โดยมีผู้ป่วย 30 คนที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่แม้ระดับไวรัสจะถูกกดแล้ว แต่ยังมีภาวะล้มเหลวทางภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเท่าๆ กัน กลุ่ม A ได้รับยาหลอก กลุ่มB ได้รับแคปซูลโปรไบโอติก 2 แคปซูลต่อวัน โดยมีจำนวนโคโลนี 10⁹ CFU ต่อแคปซูลซึ่งมีเชื้อจุลินทรีย์ 7 สายพันธุ์ หลังจาก 3 เดือน ได้ทำการตรวจสอบจำนวน CD4+ โดยวิธีโฟลไซโตเมทรี และหลังจากช่วงเวลาล้างยาหนึ่งเดือน ทำการทดลองสลับกันโดย ผู้เข้าร่วมที่เคยได้รับโปรไบโอติกได้รับยาหลอก และผู้เข้าร่วมที่เคยได้รับยาหลอกก็ได้รับโปรไบโอติกเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นพวกเขาได้รับการตรวจสอบจำนวน CD4+ 7 เดือนหลังจากเริ่มการศึกษา
ผลลัพธ์
ในกลุ่มแรก (A) การให้ยาหลอกส่งผลให้จำนวน CD4 ลดลงในช่วง 3 เดือนแรก (จาก 202.21 เป็น 181.79, ค่า p < .001) ซึ่งอาจเกิดจากลักษณะการดำเนินของโรค หลังจากการให้โปรไบโอติก จำนวน CD4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 181.79 เป็น 243.86, ค่า p < .001) โดยรวมแล้ว หลังจากการศึกษา 7 เดือน มีการเพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ย CD4 อย่างมีนัยสำคัญจาก 202.21 เป็น 243.86 (ค่า p < .001)
ในกลุ่มที่สอง (B) การให้โปรไบโอติกในช่วง 3 เดือนแรกของการศึกษา ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย CD4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 126.45 เป็น 175.73, ค่า p < .001) เมื่อหยุดให้โปรไบโอติกส่งผลให้จำนวน CD4 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (จาก 175.73 เป็น 138.9, ค่า p < .001) แต่โดยรวมแล้วจำนวน CD4 เมื่อสิ้นสุดการศึกษายังคงสูงกว่าระดับเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < .001)
สรุปผลการศึกษา
การใช้โปรไบโอติกเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและปรับปรุงภูมิคุ้มกันของเนื้อเยื่อเกี่ยวข้องกับลำไส้ในผู้ติดเชื้อ HIV โดยการปรับฟังก์ชันของเกราะป้องกันเยื่อบุผิวและองค์ประกอบของ Microbiota สามารถนำไปสู่การเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4+ ในผู้ป่วย HIV ที่มีความล้มเหลวทางภูมิคุ้มกัน การให้โปรไบโอติกทุกวันในขนาดที่เหมาะสม (สองแคปซูลที่มีจำนวนโคโลนี 10⁹ CFU ในการศึกษาของเรา) แก่ผู้ป่วย HIV ที่ยากดเชื้อได้แต่ภูมิคุ้มกันยังต่ำ ส่งผลให้จำนวนเซลล์ CD4+ เพิ่มขึ้นชั่วคราว
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
เช็คก่อนตรวจ
วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี (Zero HIV Stigma Day)
“Human First” เป็นหัวข้อรณรงค์ วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวีในปี 2023 เพื่อเน้นย้ำมิติความเป็นมนุษย์ของผู้ที่มีเอชไอวีและได้รับผลกระทบจากเอชไอวี ที่ควรได้รับสิทธิความเป็นมนุษย์เฉกเช่นมนุษย์ทุกคน ให้เห็นมนุษย์ ไม่ใช่เห็นแต่ไวรัส และการเลือกปฏิบัติใดๆ ต่อผู้มีเอชไอวีควรถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ข้อเสนอเพื่อการขจัดการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี https://zerohivstigmaday.org/wp-content/uploads/2023/07/ZeroHIVStigmaDay_Toolkit.pdf
ความเป็นมา
วันที่ 21 กรกฎาคม ได้รับการเลือกและเสนอให้เป็นวันสร้างความตระหนักเรื่องการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี เพื่อเป็นเกียรติให้กับคุณ พรูเด็นซ์ โนบันตู มาเบเล่ (Prudence Nobantu Mabele) หญิงผิวดำชาวแอฟริกาใต้คนแรกที่แบ่งปันเรื่องสถานะการมีเอชไอวีให้กับสาธารณะรับรู้ เธอต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้หญิงและเด็กที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี และความรุนแรงทางเพศภาวะ คุณพรูเด็นซ์ เกิด 21 กรกฎาคม ปี 1971 ได้รับเอชไอวีปี 1990 พูดถึงสถานการณ์มีเอชไอวีของเธอในที่สาธารณะในปี 1992 และเสียชีวิตลงในวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2017 https://en.wikipedia.org/wiki/Prudence_Nobantu_Mabele
วันสร้างความตระหนักเรื่องทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี สร้างความเคลื่อนไหวไปทั่วโลก รวมผู้คน ชุมชน และประเทศทั้งหลายให้ตระหนักและลงมือปฏิบัติต่อการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี เพื่อนักกิจกรรมด้านเอชไอวีที่จากไปและเพื่อนักกิจกรรมทุกคนที่ยังคงต่อสู้กับเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง
วันที่ทั่วโลกปราศจากการตีตราอันเนื่องมาจากเอชไอวี ริเริ่มในปี 2021 โดย 4 องค์กร