เป็นที่รู้กันว่าผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน สามารถรับยาต้านไวรัส จนมีอาการดี สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นโรคเอดส์ แต่กระนั้นก็ต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต ไม่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่าไหม? แล้วเรารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อ HIV คือ….?
คำตอบคือ “งดการมีเพศสัมพันธ์” … อ้าว ถ้างดไม่ได้ล่ะ ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
“โอ้ยยย มีเพศสัมพันธ์บ่อยมาก เปลี่ยนคู่ขาเป็นว่าเล่น”
“เคยติดเชื้อหนองในบ้าง ซิฟิลิสบ้าง แผลริมอ่อนบ้าง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“รับงานXXX ในและนอกสถานที่ รับงานเป็นหลักแหล่ง ไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่ว่าจะที่ผับบาร์ หรือตามเสาไฟถนน”
“คิดว่าตัวเองไม่เสี่ยง แต่อยากลองป้องกันดู ไม่แน่ใจว่าจะพลาดเมื่อไหร่”
“แฟนติดเชื้อ HIV แล้ว รักเขามาก แต่เรายังไม่ติดและมีเพศสัมพันธ์กัน”
“ไม่ชอบใช้ถุงยาอนามัย ไม่ฟิน ไม่สนุก ไม่รู้สึกเสียว ใช้ไม่สะดวก หาไม่ได้ ณ เวลานั้น คู่ไม่ยอมใช้ บลาๆๆๆ”
เดี๋ยวค่ะ ใจเย็น เรามีอีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือเข้าข่ายที่กล่าวมาข้างต้น สามารถรับประทานยาชนิดหนึ่งซึ่งช่วยได้ นั่นคือ ยา เพร็พ (PrEP)
PrEP ย่อมาจาก Pre Exposure Prophylaxis คือยาป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีในคนที่เสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อเอชไอวี (ก่อนมีเซ็กส์) ย้ำว่า ก่อนมีเซ็กส์ ถ้าหลังมีเซ็กส์แล้วกินยาภายใน 72 ชั่วโมง นั้นเรียกว่ายา PEP (Po
st exposure Prophylaxis) นะจ๊ะ
มีคนบอกว่า กินเพร็พก็เหมือนกินยาคุมกำเนิด คือกินเพร็พกันไว้ไม่ให้ติดเชื้อ HIV เหมือนกินยาคุมกันไว้ไม่ให้ท้อง ส่วนยา PEP เหมือนกินยาคุมฉุกเฉิน กินหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่เหนื่อยไหม ต้องหวาดระแวง ต้องรีบไปหายามากินให้ทันภายใน 72 ชั่วโมง และทั้ง PEP กับยาคุมฉุกเฉินก็มีประสิทธิภาพไม่ถึง 100% ซึ่งถ้าเรากินยาก่อนมีเซ็กส์เพื่อป้องกันไว้จะได้ผลป้องกันดีกว่าที่เรามากินทีหลังมีเซ็กส์แล้ว เหมือนเราเอากระสอบมากั้นไม่ให้น้ำท่วมบ้านเรา ย่อมดีกว่าปล่อยให้น้ำเข้าไปแล้ววิดออกจนเหนื่อย จริงไหม????
เพร็พป้องกันได้แค่ไหน?
คนที่กินยาสม่ำเสมอ สามารถป้องกันได้ 92% งานวิจัยและรายละเอียดที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
http://www.bangkok.go.th/upload/user/00000150/sti/060661/1.%20PrEP_TG_BMA_06062018%20KT_PP%20marked.pdf
หลายคนอาจยังสับสน ว่าศูนย์สุขภาพแคร์แมทของเรามีบริการยาอะไร PrEP หรือ PEP ซี่งที่ผ่านมา มีคนมาขอ PEP เยอะพอสมควร เป็นสิ่งดีที่เรายังตระหนักถึงการป้องกันอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดความเสี่ยงขึ้น แต่จะดีกว่าไหมที่เราเลือกที่จะป้องกันไว้ก่อนเลย สิ่งที่เราเรียกว่า”ความเสี่ยง” ก็แทบจะไม่มี ขอเรียนให้ทราบว่า ณ ตอนนี้ เรามีเฉพาะยาเพร็พ (PrEP) ให้อย่างเดียว เรามาเน้น “ป้องกัน” กันแบบสบายๆ แบบเพร็พ ดีกว่า ป้องกัน กึ่งแก้ไข แบบPEP กันเถิดหนา
อย่างไรก็ตาม เราต้องขอย้ำอีกอย่างว่า PrEP และ PEP ป้องกันได้แค่ HIV แต่ไม่สามารถป้องกันโรคอื่นจากเพศสัมพันธ์ได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูด เริม แผลริมอ่อน ดังนั้น การป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัย ร่วมกับการกิน PrEP ด้วยทุกครั้งที่มีเซ็กส์
พี่ๆน้องๆ ท่านใดสนใจรับเพร็พ ติดต่อเราทีมแคร์แมทได้ สามารถสอบถามก่อนทางเพจของเฟสบุ๊คได้เลยค่ะ หรือพร้อมตรวจเลือด เดินเข้าคลินิกเราได้เลย เรามียาเพร็พ ฟรี เพียงแต่เรามีนัดตรวจเลือดทุก 3 เดือน กินยาได้นานเท่าที่คิดว่าหมดความเสี่ยงแล้ว
องค์กรแคร์แมทมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจากศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ให้เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ให้บริการยา PrEP โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดแก่กลุ่มเป้าหมาย ขอบคุณค่ะ/ครับ
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวัน VCT Day เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักให้ประชาชนทุกคนรู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการตรวจหากาติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสามารถเข้ารับบริการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง ทุกสิทธิการรักษา โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัด ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ พัฒนาการการให้บริการตรวจเลือดให้รวดเร็วขึ้น สามารถแจ้งผลตรวจให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ไปรับบริการ (Same day result) โดยยื่นบัตรประชาชนที่ห้องทำบัตร หรือติดต่อที่ห้องให้การปรึกษาเพื่อแจ้งความประสงค์แก่เจ้าหน้าที่และจะได้รับการปรึกษา ประเมินพฤติกรรมเสี่ยง ข้อมูลขั้นตอนในการตรวจเลือด และรับฟังผลเลือดภายในวันที่ตรวจ และหากพบว่าเกิดเชื้อเอชไอวีจะได้รับการเจาะเลือดหาระดับซีดีโฟร์และพบแพทย์เพื่อเข้ากระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาการแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อในด้านสุขภาพและชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่ 2527 เป็นต้นมา โดยยังมีการตรวจพบผู้มีเชื้อรายใหม่ ปีละ 6,139 ราย ทำให้มีผู้มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์ สะสมจำนวนทั้งสิ้น 433,778 ราย (พ.ศ.2559) ในส่วนอัตราความชุกของเอชไอวีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ร้อยละ 9.2 และพนักงานบริการชายร้อยละ 11.9 ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยากมีลักษณะเฉพาะเนื่องด้วยถูกมองว่ามีพฤติกรรมทางเพศที่แปลกและแตกต่างจากเพศสภาพของคนส่วนใหญ่ในสังคม และในปัจจุบันประเทศไทยมีแผนและความมุ่งมั่นในการยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 ด้วยชุดบริการ RRTTR (Reach Recruit Test Treat and Retrain) โดยเน้นให้บริการกับกลุ่มประชากรหลักที่มีพฤติกรรมและความเสี่ยงสูง
ในปี 2558 ได้มีโครงการนำร่องเรื่องการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยชุมชนซึ่งเป็นหนึ่งในบริการของศูนย์สุขภาพชุมชนภายใต้โครงการ LINKAGES โดยศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทยและองค์กร FHI360 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) มีพื้นที่การทำงาน ใน 4 จังหวัด (กรุงเทพ สงขลา ชลบุรีและเชียงใหม่) ผ่านการดำเนินงานขององค์กรชุมชน 5 องค์กร ศูนย์สุขภาพชุมชนมีบริการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด และตรวจเลือดโดยสมัครใจแบบรู้ผลในวันเดียว (Same Day Result; SDR) รวมถึงการส่งต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยทำงานร่วมกับสถานบริการด้านสุขภาพของรัฐและเอกชนในพื้นที่ ซึ่งผลการดำเนินงานทั้งประเทศพบว่าศูนย์สุขภาพชุมชนสามารถตรวจเลือดได้ร้อยะ 42.4 ของการตรวจเลือดทั้งประเทศ และสามารถวินิจฉัยผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ร้อยละ 31.4 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศ
ศูนย์สุขภาพแคร์แมท เป็นหน่วยบริการที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานขององค์กรแคร์แมท เชียงใหม่ องค์กรสาธารณประโยชน์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 ศูนย์สุขภาพแคร์แมทก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ภายใต้แนวคิด “ตรวจเร็ว รู้เร็ว รักษาเร็ว” (Test and Treat Model) ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (Man who have sex with man-MSM) และสาวประเภทสอง (Transgender-TG) รวมถึงพนักงานบริการชาย (Male Sex Worker) โดยมีบริการให้คำปรึกษาเพื่อประเมินพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และเชื้อซิฟิลิส (Syphilis) ด้วยความสมัครใจ การประสานส่งต่อผู้มีผลเลือดบวกเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ร่วมกับสถานพยาบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งการติดตามดูแลสนับสนุนเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคงสถานะผลเลือดลบและการจัดการชีวิตหลังการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราให้บริการอะไรบ้าง?
เทศกาลสงกรานต์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในประเทศไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นของปีใหม่แบบไทย คำว่าสงกรานต์มาจากคำในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่าเส้นทางโหราศาสตร์ โดยเป็นเทศกาลพุทธแบบดั้งเดิมและมีการเฉลิมฉลองทุกปีในระหว่างวันที่ 13 ถึง 16 เมษายนเทศกาลสงกรานต์เป็นที่รู้จักกันในชื่อเทศกาลเล่นน้ำ เป็นพิธีการเฉลิมฉลองโดยใช้น้ำเพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีจากปีเก่าให้หมดไป คนที่เฉลิมฉลองสงกรานต์มีส่วนร่วมในการรดน้ำดำหัวแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการล้างเคราะห์และล้างบาปให้ออกไปจากชีวิต บางคนก็เพิ่มสมุนไพรลงไปในน้ำที่ใช้ทำพิธีเช่นกั
เนื่องจากเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี การเฉลิมฉลองด้วยน้ำจึงมีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลในหลายระดับ อย่างไรก็ตามสงกรานต์ไม่ได้มีการเฉลิมฉลองแบบดั้งเดิมเสมอไป ในเมืองใหญ่ ผู้คนจะออกมาตามถนน ตามเมืองต่าง ๆ เช่นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือจังหวัดท่องเที่ยวในแต่ละภาคจะเห็นปาร์ตี้ตามท้องถนนและการต่อสู้ด้วยน้ำ ในช่วงวันหยุดราชการสำนักงานและธนาคารจะปิดทำการเป็นระยะเวลาสามวัน หลายคนใช้เวลานี้เป็นโอกาสที่จะไปเยี่ยมครอบครัวของพวกเขา นอกเหนือจากพิธีกรรมทางน้ำและงานปาร์ตี้ริมถนนแล้วยังมีกิจกรรมสำคัญอื่นๆ ที่คนไทยมีส่วนร่วมในช่วงสัปดาห์นี้ หลายคนจะใช้เวลานี้ไปวัด บางคนอาจมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้านประจำปีของของพวกเขา
ในวันที่สองของวันสงกรานต์ หลายครอบครัวจะตื่นแต่เช้าและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิม พวกเขาจะถวายทานแก่พระสงฆ์ พวกเขายังมีส่วนร่วมในพิธีกรรมที่เรียกว่า ‘การสรงน้ำพระพุทธรูป’ ในระหว่างพิธีกรรมนี้สาวกผู้ศรัทธาจะรดน้ำลงบนพระพุทธรูปในบ้านของพวกเขา และที่วัดในท้องถิ่นของพวกเขา ในส่วนงานรื่นเริงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเชียงใหม่อยู่ที่รอบๆคูเมือง และถนนห้วยแก้ว เป็นงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่คนหลายพันคนได้ต่อสู้กันด้วยปืนฉีดน้ำ ลูกโป่ง และอุปกรณ์อื่นๆ ที่พวกเขาสามารถหาได้ ถนนยังแออัดไปด้วยผู้ขาย/ผู้หญิงปืนฉีดน้ำ ของเล่น อาหาร และเครื่องดื่มและของมึนเมาและอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ในที่สุด
ศูนย์สุขภาพแคร์แมทให้บริการให้การปรึกษาและตรวจหาเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับกลุ่มชายรักชาย (MSM) สาวประเภทสอง (TG) รวมถึงพนักงานบริการชาย (MSW) แบบรู้ผลในวันเดียว สนับสนุนอุปกรณ์การป้องกันถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น รวมถึงบริการยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อฯ (PrEP) โดยเปิดให้บริการทุกวันอังคาร ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 19.00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. สามารถติดต่อเราได้ที่ Tel : 052-005458 หรือwww.caremat.org
แหล่งที่มาของข้อมูล : https://publicholidays.asia/thailand/th/songkran-festival
การพัฒนากระบวนการเพื่อเข้าถึงกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงโดยใช้รูปแบบของเครือข่ายเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อสนับสนุนการทำงานยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทยขององค์กรแคร์แมท ดำเนินการโดยกระบวนการเสริมศักยภาพผู้รับบริการที่ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีให้มีความรู้และทักษะในการให้ข้อมูลเรื่องเอชไอวีกับกลุ่มเพื่อนที่ยังมีพฤติกรรมเสี่ยง การสร้างแรงจูงใจในการนำกลุ่มเป้าหมายให้มารับบริการที่ศูนย์สุขภาพ และการประสานภาคีเครือข่ายการทำงานในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการเพื่อให้เกิดการทำงานที่ยั่งยืน เป็นกระบวนการสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายเพื่อยุติปัญญาเอชไอวี/เอดส์ได้อย่างแท้จริง
จากข้อมูลสถานการณ์การระบาดของเอชไอวีในประเทศไทยโดยการนำเสนอของศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข (TUC) ในเวทีเสวนาเรื่องการจัดบริการสุขภาพโดยชุมชน เมื่อวันที่11 มกราคม 2560 ที่ผ่านมาข้อมูลการคาดประมาณการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ยังพบว่ากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง รวมถึงพนักงานบริการชายยังมีจำนวนที่สูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ โดยคิดเป็นร้อยละ 49 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดจำนวน 6,139 ราย/ปี (Summary Result 2010-2030 Projection for HIV/AIDS in Thailand by Thailand Working Group on HIV/AIDS Projection) ซึ่งก่อให้เกิดส่งผลกระทบในหลายด้านทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพ การรับและถ่ายทอดเชื้อ การใช้ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัย ประเด็นสุดท้ายคือผลกระทบในเรื่องการของตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศของคนทั่วไป หน่วยงานด้านสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนจึงได้ร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในรูปแบบของชุดบริการ RRTTPR ซึ่งได้แก่
นอกจากนี้ยังรวมถึงงานด้าน Prevention การส่งเสริมการป้องกันไม่ว่าผู้รับบริการจะมีผลเลือดจะเป็นลบหรือบวกด้วยการแจกอุปกรณ์การป้องกันซึ่งได้แก่ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นสำหรับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ซึ่งแนวทางนี้ถือว่าเป็นแนวทางการทำงานหลักของหน่วยงานผู้ให้บริการสุขภาพทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ในประเทศไทย
องค์กรแคร์แมทเป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ไม่แสวงผลกำไร มีการดำเนินงานด้านการดูแลและสนับสนับสนุนกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสองที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 และในปัจจุบันได้เปิดบริการศูนย์สุขภาพชุมชนแคร์แมทเพื่อให้บริการให้คำปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจโดยในปี พ.ศ. 2558 – 2560 มีผู้มาใช้บริการรวมทั้งสิ้น 4,874 ราย แยกเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย 3,794ราย และสาวประเภทสอง 1,080 ราย มีการตรวจพบสถานะการมีเชื้อเอชไอวี จำนวน 407 ราย และมีสถานะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 110 ราย (M&E: รายงานสรุปข้อมูลผู้มาใช้บริการศูนย์สุขภาพแคร์แมท,ตุลาคม 2560) โดยทั้งหมดได้มีการประสานต่อกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตามสิทธิของผู้รับบริการ
แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่ถูกประเมินว่าเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาของศูนย์ฯ ได้สะท้อนว่าการตัดสินใจเพื่อตรวจเลือดของกลุ่มเป้าหมายยังมีความไม่มั่นใจในคุณภาพและบริการในเรื่องของผลแลปการอ่านค่าผลเลือดที่ออกมาของศูนย์สุขภาพ รวมถึงเชื่อมประสานการทำงานกับหน่วยงานผู้ดูแลและให้บริการด้านสุขภาพในแต่ละพื้นที่ขององค์กรแคร์แมทยังมีน้อยเมื่อมี
การประสานต่อส่อกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่กระบวนการรักษาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลและสนับสนุนจึงทำให้ขาดการติดตามเรื่องการดูแลสุขภาพที่ต่อเนื่องของกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ องค์กรแคร์แมทจึงได้ดำเนินการประสานความร่วมมือการทำงานกับหน่วยงานผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (รพ./รพสต.) หน่วยงานสถานศึกษา ผู้นำชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาด้านเอชไอวี/เอดส์และสุขภาพแบบองค์รวม โดยการจัดประชุมสร้างความเข้าใจและกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการทำงานเพื่อยุติปัญหาเอดส์ซึ่งถือเป็นปัญหาด้านสุขภาพของคนทุกคนในชุมชน
การดำเนินการเพื่อยุติปัญหาเอดส์ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศที่จะนำไปสู่ความสำเร็จประเด็นสำคัญคือต้องให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลที่รอบด้านสามารถวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของตัวเอง มีทางเลือกในการใช้บริการด้านสุขภาพโดยคำนึงเรื่องพื้นที่ปลอดภัย ไม่ตีตราและเลือกปฏิบัติ ตลอดจนมีคุณภาพมาตรฐานที่เท่าเทียมกันกับระบบบริการปกติของภาครัฐ มีเพื่อนที่คอยสนับสนุนและติดตามดูแลสร้างความตระหนักในการป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนจากภาคส่วนต่างๆ ในการร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของคนไทยที่เท่าเทียมกันทุกคน
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD (Sexually Transmitted Disease) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีดังนี้:
เป็นไวรัสสาเหตุของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์
เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคซึ่งไม่ใช่หนองในแท้ (Gonococcal Urethritis) สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมที่พบบ่อยที่สุดคือ Chlamydia trachomatis คนไทยจะรู้จักกันในชื่อ “ฝีมะม่วง” ซึ่งหมายถึงต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบจากการติดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบและปวด หรือที่ชาวบ้านเรียก “ไข่ดันบวม” ก็เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis นี่เอง
โรคติดเชื้อทริโคโมนาสเป็นโรคติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่ง ปกติแล้วมักอาศัยอยู่ในช่องคลอด แต่ก็พบเชื้อนี้อาศัยอยู่ในท่อปัสสาวะ (องคชาติ) ของผู้ชายเช่นกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการใดๆ แต่บางคนอาจตกขาวสีเหลือง มีลักษณะเป็นฟอง มีอาการคันที่อวัยวะเพศหรือเจ็บบริเวณแคมของช่องคลอด ส่วนผู้ชายมักจะไม่มีอาการ แต่อาจทําให้ปัสสาวะขัดได้ โรคติดเชื้อทริโคโมนาสติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอดกับผู้ที่เป็นโรคโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น
HPV เป็นเชื้อไวรัสที่พบบ่อย คนส่วนใหญ่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ โดยเฉลี่ยไวรัสนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ และมากกว่า 30 สายพันธุ์เกิดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
บางคนที่ติดเชื้อ HPV โดยไม่มีอาการแสดงออกของโรคและหายไปเอง แสดงว่าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมาก โดยทั่วไป HPV จะติดต่อกันโดยการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ บริเวณหูด หรือส่วนที่ติดเชื้อไวรัส เป็นส่วนน้อยที่ติดต่อกันจากการร่วมเพศทางปาก ซึ่งยังไม่มีผลยืนยันว่าการสัมผัสของนิ้วมือหรือวัตถุที่ติดเชื้อไวรัสจะสามารถส่งต่อเชื้อได้ ส่วนยารักษาในปัจจุบันยังไม่มีตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อไวรัส HPV ได้ แต่ยาสามารถรักษาอาการของหูดได้
เริม คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มาจากเชื้อ herpes simplex virus type 1 (HSV-1) หรือ type 2 (HSV-2) ที่พบเห็นส่วนมากมักจะเป็นชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศ อาจลามติดเชื้อไปที่ส่วนอื่นของร่างกายและทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ บนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนัง เชื้อจะแบ่งตัวทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัว แต่หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็อาจเกิดการแบ่งตัวได้ และทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 80
ปัจจัยที่กระตุ้นยังไม่แน่ชัด เชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่า และหายเร็วกว่าการเป็นครั้งแรก
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือดและไปจับตามอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคตามอวัยวะ
โรคตับอักเสบบี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ ซึ่งผู้ที่มีเชื้ออาจไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ ส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
ไวรัสตับอักเสบซี แพร่กระจายมากขึ้น เนื่องจากพบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยประมาณประมาณ 1-2% ของคนที่มาบริจาคเลือด หลังเป็นตับอักเสบแล้วก็มีแนวโน้มเกิดเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
20% ของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังชนิดซี จะเป็นตับแข็งภายใน 10-20 ปี บางส่วนกลายเป็นมะเร็งตับ
แหล่งข้อมูล: www.adamslove.org
ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิด ที่นิยมใช้กันมากที่สุดในขณะร่วมเพศ มีทั้งแบบสำหรับผู้ชายและผู้หญิง
ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายใช้โดยสวมครอบอวัยวะเพศชายที่กำลังแข็งตัวในขณะร่วมเพศ เมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิแล้ว น้ำอสุจิจะถูกเก็บไว้ในถุงยางอนามัย ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่น ซิฟิลิส หนองใน และ เอดส์ได้อีกด้วย
ถุงยางอนามัย ทำมาจากอะไร?
ถุงยางอนามัยในสมัยก่อนเคยทำจากหนังธรรมชาติ เช่นหนังแกะและยางพารา แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะทำมาจากลาเท็กซ์หรือโพลียูรีเทน
ลาเท็กซ์ คือวัสดุที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการทำถุงยางอนามัย เพราะเชื้อไวรัสไม่สามารถผ่านทะลุไปได้ และราคาถูก หาซื้อง่าย ทว่ามีข้อเสียคือน้ำมันอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดได้ และหลายคนอาจเกิดอาการแพ้
โพลียูรีเทน คืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้ลาเท็กซ์ ในท้องตลาดมีอยู่ยี่ห้อหนึ่งวางขาย ทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง
เจลหล่อลื่น
เจลหล่อลื่นเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งในถุงยางอนามัยที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพราะบางครั้งถุงยางอนามัยก็ไม่มีเจลหล่อลื่น หรือบางครั้งก็ใช้ซิลิโคนเคลือบแทน บางครั้งอาจเป็นถุงยางอนามัยที่ใช้น้ำเป็นตัวหล่อลื่น วัตถุประสงค์ของสารหล่อลื่น คือทำให้ถุงยางมีความลื่นและง่ายต่อการใช้ อีกทั้งป้องกันไม่ให้ถุงยางฉีกขาดด้วย
ข้อควรรู้ก่อนออกศึก
ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันการสัมผัสโดยตรงระหว่างองคชาติ ปาก ช่องคลอด หรือช่องทวารหนักได้ แต่หากใช้ไม่ถูกต้องถุงยางอนามัยจะใช้ไม่ได้ผลหรือไม่สามารถป้องกันเชื้อเอชไอวีได้เลย
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับถุงยางอนามัย
“ถุงยางอนามัย ใช้ไม่ได้ผลหรอก” จริงๆ แล้ว จากการศึกษาพบว่า 80% – 97% ถุงยางอนามัยสามารป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ถ้าใช้อย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
“ถุงยางแตกตลอด!” จริงๆ แล้ว มีเพียง 2% เท่านั้น ที่ถุงยางอนามัยจะแตกได้หากใช้ถูกวิธี อย่าลืมว่าห้ามใช้น้ำมันกับถุงยางอนามัยชนิดลาเท็กซ์, ไม่สวมถุงยางอนามัยสองชั้น และไม่ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุ
“เชื้อเอชไอวีลอดผ่านถุงยางได้” จริงๆ แล้ว เชื้อเอชไอวีไม่สามารถลอดผ่านถุงยางอนามัยลาเท็กซ์หรือโพลียูรีเทนได้ แต่อย่าใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากหนังแกะ
เมื่อเราใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีแล้วจะรู้ว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เพราะถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันการสัมผัสโดยตรงทางปาก ช่องคลอด และทวารหนัก นอกจากนี้ยังป้องกันองคชาติให้สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งด้วย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่เชื้อได้
แหล่งข้อมูล: www.adamslove.org/
PEP (Post -Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ช่วยลดโอกาสในการสร้างไวรัสเอชไอวีในร่างกายหลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อเอชไอวีมาจากหลายรูปแบบ อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ เป็นต้น
ยาเป๊ป เป็นสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ที่ประกอบไปด้วยตัวยา 2-3 ชนิด โดยจะเข้าไปช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของสารพันธุกรรมในเชื้อ และยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนจะแพร่กระจายในร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานยาให้เร็วที่สุด และต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมงภายหลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสกับเชื้อเอชไอวี เพราะการรับประทานหลังจากเวลาดังกล่าวจะทำให้ขาดประสิทธิภาพในการรักษา
ข้อสำคัญคือยาเป๊ปยังต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน และต้องทานยาต้านไวรัสเหมือนกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีประกอบกันไปอีก 2-3 ชนิด ทั้งนี้อาจมีผลข้างเคียงโดยเกิดอาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอิดโรย ซึ่งผลข้างเคียงอาจมีอาการรุนแรงในบางรายจนจำเป็นต้องหยุดยา อย่างไรก็ตามหากใช้แล้วเกิดผลข้างเคียงรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
ขณะที่มีการวิจัยระบุว่าการทานยาเป๊ปนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีในบางรายที่ล้มเหลว ซึ่งความล้มเหลวนี้ เกิดจากการได้รับยาเป๊ปช้าเกินกว่าเวลาที่กำหนด หรือระดับของเชื้อไวรัสที่ได้รับมามีสูงมาก หรืออาจเป็นทั้งสองกรณีรวมกัน
อย่างไรก็ดีเรื่องของระยะเวลาและระดับของเชื้อไวรัสก็ขึ้นอยู่กับการให้ข้อมูลของผู้ป่วยเช่นเดียวกัน ยาเป็ปสามารถเข้าไปช่วยลดความไวในการสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้การตรวจผลออกมาเป็นลบ หรือไม่พบเชื้อเอชไอวีในร่างกายนั่นเอง โดยแพทย์จะให้คำแนะนำแก่คนไข้ที่ได้รับยา และให้มาทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอีกครั้งเมื่อทานครบสูตรแล้ว และหลังจากนั้นอีก 3-6 เดือนจึงค่อยมาตรวจอีกครั้ง
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การรับประทานยา เป็ป จะมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ปวดหัว อิดโรย คลื่นไส้ และอาเจียน ดังนั้นคนไข้จึงควรทำความเข้าใจว่าหากผลข้างเคียงไม่รุนแรงมากก็ควรรับประทานยาให้ครบเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการรับสรุปที่แน่นอนว่าการทานเป๊ปจะให้ผลได้ 100% หากไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้ว ดังนั้น การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นก็ยังเป็นวิธีที่ได้ผลดีกว่า
แหล่งข้อมูล: http://www.adamslove.org/
ยาเพร็ป คืออะไร? เพร็ป (PrEP) ย่อมาจาก PreExposure Prophylaxis เป็นส่วนสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูง
เพร็ป คือ สูตรยาต้านไวรัสที่ให้ทานเป็นประจำวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติด เชื้อเอชไอวี ถ้าเขาไปรับเชื้อมา ทุกวันนี้ เพร็ป ให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากในกลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสองที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สูตรยานี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพใน การลดการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ในกลุ่มชายหญิงทั่วไป และในกลุ่มผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติด
การกินยา PrEP เป็นวิธีการป้องกันเชื้อเอชไอวีอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิผลสูง และมีความปลอดภัยมากหากมีการกินอย่างถูกวิธีและมารับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ ทางคลินิกนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย จึงได้เริ่มเปิดให้บริการ “PrEP-30” ขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้มารับบริการที่คลินิกนิรนามสามารถประเมินลักษณะพฤติกรรมเสี่ยงของตนเองได้ว่าเหมาะสมกับการเลือก PrEP มาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันเชื้อเอชไอวีของตนเองหรือไม่ โดยช่วยประเมินความพร้อมของร่างกายเมื่อจะเริ่มใช้ PrEP และจ่ายยา PrEP โดยเน้นความสำคัญของการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องกลับมาตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเป็นประจำอย่างน้อยทุก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบริการที่เลือกใช้ยา PrEP มีความเข้าใจและตั้งใจจะใช้อย่างจริงจัง คอยเฝ้าระวังผลข้างเคียง และหากพบว่าติดเชื้อเอชไอวีขึ้นมาก็จะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยาอีกด้วย
เนื่องจากบริการ PrEP ยังไม่ได้ถูกรวมอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพต่างๆ ของประเทศไทย บริการ “PrEP-30” นี้ จึงเป็นบริการที่ผู้รับบริการต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมค่ายา และค่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 30 บาทต่อวัน หรือ 900 บาทต่อเดือน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 National Institures of Health (NIH) หรือสถาบันวิจัยสุขภาพ ได้ประกาศผลการวิจัยว่า ในการจ่ายยาต้านไวรัสนั้น สามารถป้องกันเอชไอวีด้วยได้หรือไม่ ผลปรากฎว่า ยาทานที่หลายคนรู้จักในนาม ทรูวาด้า (Truvada) ให้ผลโดยเฉลี่ยถึง 44% ในการเพิ่มการป้องกันเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสอง ที่ได้รับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน ควบคู่ไปกับตรวจเลือด และใช้ถุงยางอนามัย รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์วิธีอื่นโดยป้องกัน
การศึกษายังอยู่ในระหว่างงานวิจัยว่ายาต้านจะสามารถใช้ได้ผลในกลุ่มชายหญิง และผู้ใช้ยาหรือไม่ โดยผลปรากฎว่า การรับประทานยาทรูวาด้า สำหรับผู้หญิง ที่ออกมาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 นั้น ยังไม่ปรากฏผลงานวิจัยออกมา
สรุปคือทุกวันนี้ยาเพร็ป ให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากในกลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสองที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สูตรยานี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ในกลุ่มชายหญิงทั่วไป และในกลุ่มผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติด
กองควบคุมโรค หรือ CDC เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนานโยบายในการให้บริการการรับประทานยาเพร็ป แต่ในขณะที่ยังรอการอนุมัติอยู่นั้น กองควบคุมโรคได้พัฒนาวิธีการจ่ายยาเพร็ปสำหรับป้องกันเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว นอกจากนี้กองควบคุมโรคในสหรัฐอเมริกา ยังออกคำแนะนำให้กลุ่มชายรักชาย ดังนี้
3.1 ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง และใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
3.2 ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบถึงสภาพร่างกายของตัวเอง
3.3 ตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของท่านอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
3.4 รับข้อมูลและคำแนะนำของการรับประทานยาทุกครั้ง รวมถึงลดความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันและการใช้ยาเสพติด
3.5 ลดจำนวนคู่นอนลง
3.6 การรับประทานยาเพร็ปเป็นประจำทุกวันสำคัญมาก เพราะงานวิจัยระบุว่ายาเพร็ปให้ผลในการป้องกันในระดับที่สูงในกลุ่มที่ทานเป็นประจำ
แต่การป้องกันจะไม่ได้ผลในกลุ่มที่ไม่ทายาอย่างต่อเนื่อง
3.7 รับประทานยาเพร็ปควบคู่ไปกับการรับคำปรึกษาเรื่องสุขภาพ การตรวจเอชไอวี และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
3.8 ผู้ใดที่คิดว่าตัวเองควรได้รับประทานยาเพร็ปควรปรึกษาแพทย์
แหล่งข้อมูล: www.adamslove.org/
ปัจจุบันได้มีการพัฒนารักษาไวรัส รวมทั้งมีการใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อ HIV ควรจะปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อวางแผนการรักษา ซึ่งเชื้อ HIV จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันโดยเริ่มทำลายเซลล์ CD4 เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะเกิดการติดเชื้อ และการรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัสนั้นก็เป็นเพียงการหยุดหรือทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวลดลงจนไม่อาจลุกลามกลายเป็นโรคเอดส์
ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยเพื่อวางแผนในการรักษา
เลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่รักษา
ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จคือแพทย์ผู้รักษาและโรงพยาบาล ทีมงานทางการแพทย์ตะต้องมีคุณภาพ และต้องเข้าใจปัญหาที่ผู้ป่วยกำลังประสบอยู่ทุกวัน อีกทั้งยังต้องวางแผนการรักษา ให้ความรู้เรื่องการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ และป้องกันผู้อื่นไม่ให้ได้รับเชื้อจากตัวผู้ป่วย
ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาเรื่องยาเสพติด ปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถปรึกษากับทีมงานที่รักษาได้ ที่สำคัญคือต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน
เข้าใจหลักการรักษา
เชื้อ HIV จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ซึ่งเชื้อนั้นจะถูกสร้างโดย CD4 Cell เมื่อเชื้อมีปริมาณมากเซลล์ CD4 Cell ก็จะต่ำ จึงควรเริ่มการรักษาก่อนที่ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย
และนอกจากดูจำนวน CD4 Cell แล้วก็ยังต้องดู viral load หรือปริมาณเชื้อที่อยูในกระแสเลือดด้วย หากพบ viral load มาก เชื้อในร่างกายก็จะมาก อวัยวะก็จะถูกทำลายมากและเร็ว ที่สำคัญคืออาจเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาคือจะต้องทำให้ปริมาณเชื้อ (viral load) ในร่างกายมีน้อยที่สุด
การรักษาจะใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา โปรดจำไว้ว่าหากเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาอย่าหยุดยาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยลำพัง ให้ปรึกษาแพทย์เสมอ เพราะอาจจะทำให้เชื้อดื้อยา
การเลือกใช้ยารักษา
การจะเลือกใช้ยารักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
เมื่อไรถึงจะเริ่มรักษา
ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเหมือนกันว่าจะเริ่มรักษาโรคต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์ นั่นคือเซลล์ CD4 ลดลง และมีปริมาณเชื้อมาก (viral load) การรักษาผู้ป่วยจะแยกเป็นกรณีที่แตกต่างกันไป ดังเช่น
กรณีการรักษาผู้ป่วยหลังสัมผัสโรคติดเชื้อ HIV ( Post-Exposure Prophylaxis ) ควรทำภายใน 72 ชั่วโมง เช่น การที่เจ้าหน้าที่ถูกเข็มตำขณะทำงานโดยที่เข็มนั้นเปื้อนเลือดผู้ป่วย HIV… หลังสัมผัสเชื้อทันทีจะไม่สามารถใช้วิธีการเจาะเลือดหา viral load หรือ antigen หรือ antibody ได้ เพราะจะยังหาไม่พบ
การให้ยาแก่คนที่สัมผัสโรคจะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ในกรณีของผู้ที่ร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ ยังไม่มีรายงานว่าจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากแค่ไหน ดังนั้นผู้ที่สัมผัสโรคต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการใช้ยา หากต้องใช้จะเป็นเวลานานแค่ไหน และผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง
กรณี Primary Infection หมายถึง ภาวะตั้งแต่เริ่มได้รับเชื้อจนกระทั่งภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นจนสามารถตรวจพบได้ ช่วงระยะนี้มีเวลาประมาณ 12-20 สัปดาห์ หากพบผู้ป่วยในระยะนี้ต้องรีบให้การรักษาโดยเร็ว แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้รับประทานตลอดชีวิต แต่บางท่านแนะนำให้รับประทานยา 24 เดือนแล้วลองหยุดยา
กรณี ผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic Patients with Established Infection ) การรักษาผู้ที่ติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เป็นต้น
การรักษา
ก่อนการรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อในหลายแง่มุม รวมทั้งการระยะและอาการของโรค การดื้อยา ผลข้างเคียงของยา ราคายา การติดเชื้อฉวยโอกาส และเมื่อตัดสินใจรักษาแล้ว แพทย์จะจ่ายยาที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อป้องกันการดื้อยา ผู้ป่วยต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษา เพราะการขาดยาแม้เพียงมื้อใดมื้อหนึ่ง ก็จะทำให้ระดับยาในเลือดลดลง ซึ่งทำให้เชื้อดื้อยาได้ ผู้ป่วยต้องปรึกษากับแพทย์ถึงราคายาเนื่องจากขณะนี้ราคายังแพงอยู่
เป้าหมายในการรักษา
เชื้อ HIV เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV จะทำให้เชื้อหยุดหรือชะลอการดำเนินของโรคเอดส์ โดยมีเป้าหมายในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ดังนี้
ข้อสำคัญคือผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในระยะยาวโดยที่ไม่เกิดอาการ ทั้งที่ยังไม่ได้รักษา ดังนั้นผู้ป่วยบางรายยังไม่จำเป็นต้องรีบรักษาก็ได้ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์
การติดตามการรักษา
หลังการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นแพทย์อาจจะนัดตรวจทุก 3-6 เดือน เพื่อประเมินสิ่งต่อไปนี้
แหล่งข้อมูล: www.siamhealth.net
ส่วนใหญ่แล้ว การติดเชื้อเอชไอวีเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันและการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งอาจไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายได้ 100% แต่คุณสามารถป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ด้วยเคล็ดลับและเทคนิคต่างๆ ดังต่อไปนี้
หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือถุงยางอนามัยชาย ซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ง่ายและหาซื้อได้ในราคาถูก ข้อดีคือถุงยางอนามัยมีรูปทรง ขนาด พื้นผิว และกลิ่นหลากหลายรูปแบบให้เลือก หากคุณหรือคู่ไม่ชอบถุงยางอนามัยประเภทใดก็สามารถเปลี่ยนไปลองใช้ประเภทอื่นได้
คำเตือน: ควรใช้ก่อนวันหมดอายุ หากเลยกำหนดวันหมดอายุให้ทิ้ง, อย่าเก็บถุงยางอนามัยให้โดนแสงแดด หรือในสถานที่ร้อนจัด / เย็นจัด
วิธีการใส่ถุงยางอนามัย:
วิธีการถอดถุงยางอนามัย:
ถุงยางอนามัยหญิง ที่เรียกว่า ถุงยางอนามัยแบบสอด (Insertive Condom) ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ในช่องคลอด ทำจากโพลียูรีเทนที่ทำหน้าที่เหมือนซับหลวมๆ ภายในช่องคลอด แต่หากตัดสินใจใช้ถุงยางอนามัยผู้หญิงในการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็ควรตรวจสอบให้บ่อยครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะไม่ลื่นหลุดเข้าไปในลำไส้ตรง
*ถุงยางอนามัยชายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
เคล็ดลับ: ไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยชายและหญิงในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการลื่นหลุดหรือฉีกขาด
วิธีการใส่ถุงยางอนามัยแบบสอด:
วิธีการถอดถุงยางอนามัยแบบสอด:
หลังจากหลั่งเรียบร้อย ให้บีบ และบิดวงแหวนภายนอกของถุงยางอนามัย จากนั้นจึงนำออกจากช่องคลอดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน โดยระมัดระวังไม่ให้มีการรั่วไหลของของเหลว (น้ำอสุจิ) ภายใน
ยาเพร็พ หรือ ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัส Pre- Exposure Prophylaxis (PrEP)
เป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อแบบใหม่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง ยาเพร็พช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงที่มีภาวะเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อเอชไอวีผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้เข็มฉีดยา
ยาเป๊ป หรือ ยาต้านไวรัสหลังการสัมผัส Post-Exposure Prophylaxis (PEP)
เป็นยาต้านเชื้อที่ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่ตัวเชื้อจะกระจายตัวในร่างกาย ตัวยาประกอบด้วยยาต้านไวรัส 2-3 ชนิด ควรรับประทานอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้หลังจากที่คุณได้รับเชื้อเอชไอวี (เพื่อให้มีประสิทธิภาพควรเริ่มทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ) และควรจะรับประทานให้ครบ 28 วัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อมีการฉีดยาก็ควรใช้เข็มใหม่และแท่นเจาะที่สะอาดทุกครั้ง หลังจากที่คุณใช้เข็มฉีดยาแล้ว ควรจัดเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ขวดน้ำพลาสติก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวคุณหรือผู้อื่นได้สัมผัสและรับบาดเจ็บ
แหล่งข้อมูล: www.hivcl.org, www.plannedparenthood.org, www.cdc.gov