Sexuality เพศเลือกได้ คุณเข้ากับแบบไหน ถามใจดู
หากจะนิยามและจำแนก Human sexuality หรือเพศวิถีของมนุษย์เรานั้น คงมีหลากหลายและเข้าใจยากในสมัยนี้ ด้วยองค์ความรู้และการปรากฏของ LGBTQA+++ ในสังคมโลก ทำให้เราต้องเรียนรู้มากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจในปัจเจกชนมากขึ้น แทนที่จะเหมารวมหรือแบ่งแยกว่า เขาเป็นอะไร เราเป็นอะไร เพราะคนเรามีความแตกต่าง หลากหลาย แม้แต่ในคนคนเดียวยังลื่นไหลเปลี่ยนไปมาได้ วันนี้เรามาเรียนรุ้กันค่ะ ว่าเพศวิถีต่างๆเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ได้เกิดกับกลุ่ม LGBTQA+++ อย่างเดียวนะคะ กลุ่มที่เคลมว่าเป็นชายจริงหญิงแท้ ก็ยังมี sexuality ที่อาจทับซ้อนกับบริบทที่จะกล่าวถึงนี้ค่ะ
การกำหนดว่ามนุษย์เรามี sexuality แบบใด ในภาษาอังกฤษมักใช้คำว่า sexual เป็นตัวลงท้าย เคยสงสัยบ้างไหมคะว่ามันมีกี่คำ แต่ละคำมีความหมายอย่างไร ซึ่งคำที่ลงท้ายด้วย sexual มีมากเกินกว่าที่พจนานุกรมจะบัญญัติไว้ และเกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ คำว่า sexual เดี่ยวๆนั้นแปลว่า เกี่ยวกับเพศ ทางเพศ ในทางเพศ เมื่อมันไปผสมกับคำอื่นโดยอยู่ท้ายคำ ความหมายก็จะสอดคล้องไปทางเรื่องเพศ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวตามแต่คำหน้าจะนำพาไป เราจะเรียนรู้ รู้จักผู้คน รสนิยม พฤติกรรมทางเพศ และความหลากหลายทางเพศมากขึ้น บางอย่างก็อาจทำให้เราอึ้ง ทึ่ง เสียว ไปกับมันก็เป็นได้ จิตใจคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง รสนิยมของคนก็เช่นกัน วันนี้เราลองมาเรียนรู้กันพอประมาณนะคะ แอดมินพยายามรวบรวมให้ได้มากที่สุด ณ ตอนนี้ค่ะ
Abrosexual
บุคคลที่มีความลื่นไหลทางเพศ เปลี่ยนเป็นเกย์ เป็นคนรักทุกเพศ หรือเป็นเพศที่รักเพศตรงข้ามได้ แล้วแต่อารมณ์หรือโอกาส คำว่า abro- มาจากรากศัพท์กรีกโบราณ แปลว่า ประณีต ละเอียดอ่อน
Agynosexual
บุคคลที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิงหรือผู้มีความเป็นหญิง แต่อาจรู้สึกดีด้วยเท่านั้น
Akoisexual หรือ Lithosexual
คนที่มีอารมณ์ทางเพศ รู้สึกดึงดูดทางเพศ กับคนอื่น แต่เป็นลักษณะที่ไม่ต้องการสิ่งนั้นตอบแทน หรือไม่อยากเกี่ยวข้องเมื่อคนอื่นหยิบยื่นมาให้ บางครั้งถึงขั้นหมดอารมณ์เมื่อฝ่ายตรงข้ามแสดงออกว่าชอบหรือดึงดูดใจ อาจนิยามว่าเป็นประเภทหนึ่งของ asexual
Allosexual
คือคำอธิบายถึงการมีตัวตันทางเพศ ใช้อธิบายทั่วไปกับคนที่ตั้งใจบอกว่า ฉันมีแรงดึงดูดทางเพศกับผู้อื่น คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งปกติ เรียกอย่างกว้างๆ ไม่ได้ระบุว่าต้องชอบเพศไหน ซึ่งคำนี้เป็นคำตรงข้ามคำว่า Asexual (บุคคลที่ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ)
Androsexual ,Masexual, Mascusexual, Minsexual
บุคคลมีแรงดึงดูดทั้งทางเพศและทางใจกับผู้ชาย เพศชาย ความเป็นชาย อะไรก็ได้ที่ดูเป็นชาย โดยไม่สนว่าจะเป็นชายโดยโครโมโซมหรือมีอวัยวะเพศชายโดยกำเนิดหรือไม่
Androgynosexual
คนที่มีอารมณ์ทางเพศ หรือดึงดูดใจกับทั้งเพศชายและหญิง โดยเฉพาะกับคนที่ลักษณะดูก้ำกึ่ง (androgenous)
Anegosexual / Aegosexual
คนที่มีรสนิยมทางเพศใน spectrum ของ asexuality หมายถึงคนที่แทบจะไม่มีอารมณ์ที่จะข้องแวะกับกิจกรรมทางเพศใดๆ อาจเกิดได้นานๆครั้ง
Anthrosexual
เป็นบุคคลที่ไม่สนใจ ไม่ต้องการ ระบุเพศใดๆ ขอแค่ถูกใจก็ไปกันได้ anthro- แปลว่า มนุษย์ ดังนั้นเขาจึงมองข้ามเรื่องเพศสภาพไป มองแค่เพียงเป็นคนคนหนึ่ง
Asexual
กลุ่มคนที่ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ ไม่สนใจหรือรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องเพศสัมพันธ์กับคนอื่น บางคนมีความรักแต่ไม่ใคร่ บางคนไม่สนทั้งรักทั้งใคร่ บางคนก็มีทั้งรักทั้งใคร่บ้างแต่น้อยมาก ส่วนพฤติกรรมทางเพศต้องแยกให้ออก เพราะ Asexual ไม่ได้หมายความว่ามี sex ไม่ได้ มีได้ มีอารมณ์ทางเพศ แต่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศกับคู่นอน แต่ก็มีที่ Asexual บางคนไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับใครเลย Asexual บางคนมีความพึงพอใจกับการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เรียกว่า Libidoist asexual
Autosexual
บุคคลที่มีแรงดึงดูดทางเพศกับตนเอง มีความต้องการเพศสัมพันธ์กับตนเอง เช่น มีอารมณ์กับตัวเอง สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แต่กลุ่มนี้ไม่รวมคนที่มี sex กับคนอื่นเป็นปกติ แต่ชอบสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมากกว่า หรือไม่มีโอกาสมี sex ได้แต่ช่วยตัวเองไปตลอด
Avansexual / Ceterosexual
คนที่มีอารมณ์ทางเพศ และดึงดูดใจกับคนที่ระบุว่าตนเป็น nonbinary อย่างแท้จริง ( *nonbinary คือคนที่ไม่ระบุตัวเองว่าเป็นเพศไหนในระบบที่เชื่อว่ามีสองเพศที่มีแต่ชายและหญิง)
Bisexual
บุคคลที่มีรสนิยมทางเพศในลักษณะของ sex, ความใคร่, ความสุขทางใจ หรือแรงดึงดูดทางอารมณ์ กับทั้งสองเพศ ทั้งเพศเดียวกับตน และเพศตรงข้าม (ปัจจุบันตีความว่า เพศตรงข้ามคือเพศอื่นอีกใดๆมากกว่า 1 เพศ มีนิยามอีกว่า Bi+ sexual )
Burstsexual
เป็นบุคคลที่อยู่ในความเป็น asexual แต่นานๆครั้งเกิดประทุอารมณ์ (burst) ทางเพศหรือร่วมกับความโรแมนติกในระยะสั้นๆ
Casssexual
เป็นคนที่รู้สึกว่ารสนิยมทางเพศเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ให้ความหมายกับมัน หรือรู้สึกพอกับการมาตีความกำหนดเรื่อง รสนิยมทางเพศ
Coeosexual
เป็นบุคคลที่มีอารมณ์ รัก ใคร่ ดึงดูด กับคนที่ตนมีประสบการณ์ด้วยคนแรก เท่านั้น เหมือนกับคำว่า รักแรกพบ แต่คนเหล่านี้ก็ยังสานสัมพันธ์อันดีกับคนที่คบต่อๆไปแต่ก็อาจไม่เข้มข้นพอที่จะเกิดเป็นความสัมพันธ์ coeosexual มักผิดหวังกับคนที่ไม่รักตอบ เมื่อชอบแล้วก็ปักใจชอบเลย
Cupiosexual
เป็นกลุ่มย่อยของ Asexual คือบุคคลที่ปรารถนาจะมีแค่ความสัมพันธ์ทางเพศ มีพฤติกรรมทางเพศ แต่รู้สึกว่าใครๆก็ไม่ดึงดูดทางเพศต่อตนเองเลย
Demisexual
เป็นกลุ่มย่อยของ Asexual คือรสนิยมทางเพศของบุคคลที่เกิดแรงดึงดูดทางเพศกับสิ่งเฉพาะอย่างเท่านั้น เช่นกับบุคคลที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแน่นแฟ้นบางอย่างระหว่างกัน อาจจะเป็นคนพิเศษที่รู้จักกันมานานหลายปี เป็นคนที่ตนเองรู้สึกไว้ใจ หรือแรงดึงดูดทางเพศเมื่ออยู่ในภาวะที่โรแมนติก
Femmesexual, Finsexual, Gynesexual
บุคคลมีแรงดึงดูดทั้งทางเพศและทางใจกับผู้หญิง เพศหญิง ความเป็นหญิง อะไรก็ได้ที่ดูเป็นหญิง โดยไม่สนว่าจะเป็นหญิงโดยโครโมโซม หรือมีอวัยวะเพศหญิงโดยกำเนิดหรือไม่
Fictosexual
เป็นคำเรียกกว้างๆถึงคนที่หลงใหลกับนิยาย หรือเหตุการณ์ วิถีชีวิตที่เป็นเหมือนนิยาย ละคร เรื่องแต่ง ที่มักไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมทางเพศ
Flexisexual
บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ยืดหยุด ลื่นไหลได้หมด เป็น fluid gender เป็นได้ทุกเพศ และชอบได้ทุกเพศ
Fraysexual หรือ Ignotasexual
เป็นกลุ่มหนึ่งของ asexual ที่มีลักษณะ ไม่สนใจความสัมพันธ์แน่นแฟ้น หรือเหตุการณ์ที่จะนำพาไปสู่ความใกล้ชิด เขามีอารมณ์ทางเพศกับคนที่เขาไม่รู้จักหรือไม่สนิทสนมมากกว่า บางคนชอบความโรแมนติกแต่กับเฉพาะคนที่ไม่รู้จักหรือไม่สนิทเท่านั้น คำนี้ ตรงข้ามกับ Demisexual
Graysexual
เป็นคำเรียกกลุ่มคนที่อยู่ใน spectrum ของผู้ที่ไม่นิยามตนเองว่าเป็น asexual หรือ aromantic (ผู้มีรสนิยมไม่เสพแรงดึงดูดที่โรแมนติกใดๆ) เรียกได้ว่ากลุ่มนี้อยู่ใน grey area บางครั้งเขาก็อาจจะรู้สึกบ้างแต่น้อยครั้งมากๆจนเรียกว่าแทบไม่มีเลย เช่น บางคนอาจจะเกิดแรงดึงดูดทางเพศกับคู่ของตนแค่เพียง 1-2 ครั้งต่อปี เป็นต้น
Heterosexual
บุคคลที่มีแรงดึงดูดทางเพศ ความรู้สึกโรแมนติก หรือมีอารมณ์กับบุคคลต่างเพศที่เป็นเพศตรงข้าม ในที่นี้จำกัดความคำว่าเพศ เป็นเพียง ชาย และ หญิง เรียกอีกอย่างว่า cisgender ส่วนหญิงข้ามเพศ ชายข้ามเพศ (บุคคลข้ามเพศ) ในแง่ของอัตลักษณ์ทางเพศกับรสนิยมทางเพศสามารถจัดอยู่ในกลุ่ม Heterosexual ได้
Homosexual
เป็นคำที่ล้าสมัยที่นิยามจากแพทย์และทางจิตวิทยาซึ่งหมายถึงบุคคลที่เกิดแรงดึงดูดใจ มีอารมณ์ กับเพศเดียวกัน
Iculasexual
คือ asexual กลุ่มหนึ่งที่รู้สึกไม่อินกับความรักความใคร่ แต่เปิดโอกาสให้ตัวเองมีเพศสัมพันธ์ได้
Kalossexual
คือผู้ปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ก็ไม่รู้สึกดึงดูดใจกับเรื่องทางเพศ
Minsexual
ผู้ที่เกิดแรงดึงดูดต่อคนที่มีความเป็นชายโดยธรรมชาติ : masculine in nature (MIN) คือชอบเพศชาย คนมีความเป็นชายไม่ว่าเพศไหน nonbinary ที่ดูเป็นชาย หรือแม้กระทั่งผู้หญิงที่ดูเป็นชายมากๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าชอบคนที่ระบุตนเองว่าเป็นผู้ชายเสมอไป
Metrosexual
เป็นผู้ชายที่เป็น heterosexual ที่มีความเป็นคนเมืองกรุง มักอาศัยอยู่เมืองใหญ่ สมาทานวัฒนธรรมคนเมืองหลวง ดูแลรูปร่างหน้าตาตนเองอย่างดี สนใจแฟชั่น มีรสนิยมละเมียดละไม จนดูเหมือนเป็นเกย์
Monosexual
เป็นคำกว้างๆที่จำแนกผู้มีรสนิยมชอบ รักใคร่ กับเพศเพศเดียวเท่านั้น เช่น Heterosexual ได้แก่ ผู้ชายที่ชอบเฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงที่ชอบเฉพาะผู้ชาย รวมถึง Homosexual ได้แก่ เกย์ ถูกจำแนกว่าเป็นชายรักชาย เลสเบี้ยน คือหญิงรักหญิง
Mutosexual
เป็นผู้แสดงออกทางเพศแบบ fluid ลื่นไหลไปได้หมด วันนี้ชอบผู้ชาย อีกวันชอบผู้หญิง วันต่อมาชอบเกย์ ทอม ไบ ๆลๆ แต่ไม่จำเป็นว่าจะชอบทุกเพศได้ในเวลาเดียวกัน muto เป็นภาษาละติน แปลว่า “เปลี่ยน หรือ กลาย”
Neusexual
ผู้ที่เกิดแรงดึงดูดใจกับคนที่ระบุว่าตนเองเป็น เพศกลาง (neutral genders) รวมถึงผู้ระบุตนว่า ไม่มีเพศ คล้ายคลึงกับกลุ่ม Avansexual , Ceterosexual ที่ชอบคนที่เป็น non binary
Ninsexual
เป็นกลุ่มที่คล้ายๆ neusexual ตรงที่ชอบคนที่ระบุตนว่าเป็น เพศกลางโดยธรรมชาติ ( neutral/non-binary in nature : NIN) มีเพิ่มคือ ชอบพวก androgenous (ผู้แสดงออกทางเพศหรือรูปลักษณ์แบบก้ำกึ่งชายหญิง) กลุ่ม ninsexual ไม่ค่อยสนใจพวกที่แสดงออกว่าเป็นชายจริงหญิงแท้ บางคนชอบชายแท้ หญิงแท้ ที่แสดงออกแบบก้ำกึ่งก็มี
Novisexual
เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่สามารถระบุ หรือไม่อยากจะระบุให้ตนเข้ากรอบของเพศไหน หรือจะใช้คำไหนมาระบุตนเอง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อนเกิน
Novosexual
เป็นกลุ่มที่คล้าย (หรือเรียกว่าเป็น subset) กับ genderfluid หรือ Abrosexual ที่มีความลื่นไหลชอบได้ทุกเพศทุกแบบ มีความชอบเพศต่างๆตามสภาพและอารมณ์ ต่างกันที่ Novosexual จะมีความลื่นไหลในแบบ ประเภท/อัตลักษณ์ทางเพศที่ตนเองระบุไว้ก่อน แล้วไปชอบคนในแบบนั้น เช่น เมื่อระบุตัวเองว่าเป็นเกย์ ก็จะไปชอบผู้ชายหรือเกย์ พอลื่นไหลตัวเองไปเป็น Pansexual ก็จะไปชอบ nonbinary นั่นหมายความว่า novosexual ทุกคนเป็น genderfluid แต่ผู้ที่ระบุตนว่าเป็น genderfluid จะเป็น novosexual
Onesexual
คือคนที่ปรารถนาในรักเดียว หรือจะมีเพศสัมพันธ์กับคนคนเดียวในชีวิตนี้ เป็นได้ทั้ง hetero, homo, pan, bisexual
Omnisexual = Pansexual
บุคคลที่รักใคร่ มีเพศสัมพันธ์ได้แบบไม่จำกัดเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศกำเนิดอะไร อัตลักษณ์ทางเพศไหน หรือเพศสภาพอย่างไร
Penultisexual
คนที่มีรสนิยมชอบคนที่มีคำจำกัดความทางเพศใดๆ ที่ไม่ตรงกับของตนเอง เช่น ตัวเองเป็น demisexual ก็จะชอบ indentities อื่นๆได้หมด ยกเว้น demisexual เหมือนตน
Polysexual
ใช้อธิบายถึงบุคคลที่มีรสนิยมทางเพศที่ชอบ รัก ใคร่ มีเพศสัมพันธ์กับกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่ง Polysexual สามารถอธิบายได้ว่าเป็น Bisexual, Pansexual, Ominsexual, Queer ก็ได้
Pomosexual (Postmodernism sexual)
คือผู้ที่ไม่นิยาม หรือหลีกเลี่ยงที่จะนิยามตนเองว่ามีรสนิยมทางเพศแบบไหน การจำแนกเหล่านั้นไม่จำเป็นสำหรับเขา
Proculsexual
ผู้ที่หลงใหลมีอารมณ์ทางเพศกับคนที่ตนเองไม่มีวันจะได้มีเพศสัมพันธ์ด้วย เช่นกับ ดารา คนดัง หรือตัวละครในนิยาย
Sapiosexual
คือคนที่เกิดแรงดึงดูด มีอารมณ์ กับคนฉลาด กับความฉลาดหรือสติปัญญา มากกว่าแรงดึงดูดทางเพศหรือเพศของคน
Skoliosexual
บุคคลที่ชอบ รักใคร่ หรืออยากมีเพศสัมพันธ์ กับคนกลุ่มที่ไม่ใช่เพศที่ระบุว่าเป็นชาย-หญิง (Cisgender) คือรู้สึกดึงดูดใจกับเพศทางเลือกเช่น nonbinary*, genderqueer, trans ( *nonbinary คือคนที่ไม่ระบุตัวเองว่าเป็นเพศไหนในระบบที่เชื่อว่ามีสองเพศที่มีแต่ชายและหญิง)
Spectrasexual
บุคคลที่รู้สึกดึงดูดใจกับคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ชอบได้หลายเพศ แต่ไม่จำเป็นว่าจะชอบได้ทุกเพศที่มีระบุ
Transexual /Transgender
บุคคลข้ามเพศ ผู้เปลี่ยนแปลงตนเองจากเพศกำเนิด ไม่ว่าจะแปลงเพศ ใช้ฮอร์โมน หรือแสดงออก ให้รูปร่างลักษณะ เป็นเพศตรงข้ามจากเพศกำเนิด
Zygosexual
คือผู้ที่อยากมีคู่เพศสัมพันธ์ (sexual partners) อื่นอีก นอกจากคู่ประจำของตนเอง แต่ต้องมีเพศสัมพันธ์พร้อมกันหมดทุกครั้ง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่แยกไปมีเพศสัมพันธ์ Zygo- มาจากศัพท์กรีก แปลว่า เข้าร่วมกัน คำนี้ต่างจาก Polyamorous ตรงที่ Polyamorous เป็นการตกลงปลงใจจากทุกคนให้มีเพศสัมพันธ์กับต่างคู่ได้โดยต่างฝ่ายสามารถแยกไปมี sex โดยคู่ประจำไม่อยู่ด้วย แต่ zygosexual ต้องมีคู่ประจำอยู่ด้วย
แหล่งอ้างอิง
https://www.healthline.com/health/different-types-of-sexuality#d-lhttps://sexuality.fandom.com/wiki/List_of_Sexualities
ฮอร์โมนสำหรับหญิงข้ามเพศ ( Hormones for Transgender women)
คำว่า หญิงข้ามเพศ ( Transgender women) เริ่มเป็นที่คุ้นหูของคนไทยโดยทั่วไปมากขึ้น นอกจากคำเรียกแบบเดิม เช่น สาวประเภทสอง สาวสอง กะเทย ทั้งนี้คำว่าหญิงข้ามเพศ ในความหมายทางสังคมวิทยาเป็นคำเรียกผู้ที่มีเพศกำเนิดเป็นผู้ชายแต่ต้องการเปลี่ยนเพศสภาพของตนให้เป็นเพศตรงข้าม ซึ่งก็คือเพศหญิง (MTF หรือ Male to female transformation) โดยที่บุคคลนั้นจะยังไม่แปลง หรือแปลงเพศไปแล้วก็ได้ คนที่ยังไม่แปลงเพศก็ยังถืออัตลักษณ์และเพศสภาพของตนให้ดูเหมือนผู้หญิงโดยถือว่ายังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเพศ การเปลี่ยนจากชายเป็นหญิงของกลุ่มสาวประเภทสองหรือหญิงข้ามเพศมักอาศัย ฮอร์โมน เป็นตัวช่วย ซึ่งมีความจำเป็นมากที่จะเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพให้เข้าใกล้ความเป็นหญิงมากที่สุด ฮอร์โมน ในที่นี้คือ ฮอร์โมนเพศหญิง
ปกติในร่างกายคนเรา ไม่ว่าทั้งหญิงและชาย มีทั้งฮอร์โมนเพศหญิง และฮอร์โมนเพศชายในคนคนเดียว แต่สัดส่วนมากน้อยต่างกัน โดยผู้ชายมี ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen ; Testosterone ) มากกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen, Progesterone) ในร่างกายผู้ชาย Testosterone ส่วนใหญ่สร้างจากลูกอัณฑะ ส่วนน้อยจากต่อมหมวกไตด้านนอก (Adrenal Cortex) ส่วน Estrogen ในผู้ชายจะผลิตน้อยมาก มีแหล่งผลิตจากอัณฑะ ต่อมหมวกไต และเซลล์ไขมันในร่างกาย (Adipocytes) และ Progesterone ในผู้ชาย ผลิตน้อยเช่นกันจากอัณฑะและต่อมหมวกไต
ผู้หญิง มีฮอร์โมนเพศหญิงมากกว่าฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมน Estrogen และ Progesterone ส่วนมากผลิตจากรังไข่ ส่วนน้อยจากต่อมหมวกไต ส่วน Testosterone ในผู้หญิง ผลิตน้อยมาก ที่ต่อมหมวกไต
ตามที่กล่าวมา หลักการของ MTF ที่จะทำให้สาวประเภทสองหรือหญิงข้ามเพศมีความเป็นหญิงมากขึ้นก็คือ เสริมฮอร์โมนเพศหญิง และลดฮอร์โมนเพศชายลง การปรับเพิ่มลดฮอร์โมนควรทำตามหลักการแพทย์ มีแพทย์เป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ และตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนเพศโดยความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากแต่ในอดีตถึงปัจจุบันหญิงข้ามเพศหลายคนยังใช้ฮอร์โมนอย่างไม่ถูกวิธี ได้รับความรู้จากการถ่ายทอดจากหญิงข้ามเพศรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนฝูง ที่เป็นแบบพูดปากต่อปาก ซึ่งไม่ได้มีงานวิจัยหรือองค์ความรู้ที่เป็นหลักการทางคลินิกมารองรับ ทำให้เกิดผลข้างเคียงและผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) จึงได้สนับสนุนให้เกิดคลินิกแทนเจอรีน (Tangerine) ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะตอบสนองความต้องการของหญิงข้ามเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือและปลอดภัย มีบริการให้คำปรึกษา และตรวจวัดระดับฮอร์โมน บริการยาเพร็พ (PrEP) รวมทั้ง ตรวจเอชไอวี ซิฟิลิส และคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
คลินิกเทคนิกการแพทย์แคร์แมท เป็นอีกที่หนึ่งที่ร่วมมือกับสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) และคลินิกแทนเจอรีน แคร์แมทให้บริการตรวจวัดระดับฮอร์โมนหญิงข้ามเพศ และมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมน พร้อมกับคัดกรองเอชไอวี ซิฟิลิส และบริการยา PrEP
รายละเอียดเพิ่มเติม คลินิกแทนเจอรีน https://ihri.org/th/tangerine/
หลักการใช้ฮอร์โมนในการข้ามเพศ
การเปลี่ยนสภาพร่างกายให้เข้าสู่ความเป็นผู้หญิง จำเป็นต้องอาศัย ฮอร์โมนเพศ ที่ร่างกายรับจากภายนอก จากรูปแบบยาเตรียมที่หลากหลายได้แก่ ยาเม็ด ยาทา แผ่นแปะผิวหนัง สเปรย์ และยาฉีด บางตำรับไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากผลข้างเคียงของส่วนประกอบหลักทำให้เกิดภาวะผิดปกติของร่างกาย ฮอร์โมนที่สำคัญได้แก่
1. Estrogen
การเสริม Estrogen เข้าร่างกาย ควรคำนึงถึงผลข้างเคียง ในระยะสั้นอาจยังไม่เห็นผลชัดเจน แต่ระยะยาว อาจเกิดภาวะผิดปกติแก่ร่างกาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดดำอุดตัน/ลิ่มเลือดที่ปอด มะเร็งเต้านม ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) สูงรุนแรง (ควรระวังการใช้เอสโตรเจนชนิดรับประทาน) และการทำงานของตับหรือไตผิดปกติ Estrogen ที่เสริมเข้าสู่ร่างกาย แบ่งประเภทตามรูปแบบทางเคมีได้แก่ 17-β estradiol , Ethinyl Estradiol, Estradiol valerate, Conjugated Estrogen ตัวที่คลินิกแทนเจอรีนแนะนำให้ใช้ มีดังนี้
รูปแบบยาเม็ด
แนะนำ | ไม่แนะนำ |
17β-estradiol hemihydrate (Estrofem) 2-6 มิลลิกรัม/วัน เพราะ 17β-estradiol เป็นชนิดเดียวกับ estradiol ที่สร้างขึ้นในร่างกาย (Bioidentical) จึงมีความเข้ากับร่างกายได้สูง เกิดผลข้างเคียงน้อยมาก | Ethinyl Estradiol ซึ่งเป็นส่วนประกอบใน “ยาคุมกำเนิด”หลายยี่ห้อ เช่น Diane-35, Preme, Sucee, Anna, Yasmin, Melodia, , Mercilon, Marvelon เพราะ Ethinyl Estradiol มีผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดดําทำให้อุดตัน และ โรคหลอดเลือดหัวใจ ผลข้างเคียงจะมากขึ้น ถ้าใช้ขนาดสูง และนาน |
Estradiol valerate (Progynova) 2-6 มิลลิกรัม/วัน เพราะ Estradiol valerate เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Estradiol ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ร่างกายสร้าง | Conjugated Estrogens (Premarin, Estromon) เพราะตรวจหาปริมาณในกระแสเลือดได้ยากมาก |
รูปแบบการให้ยาทางผิวหนัง ( Transdermal delivery system )
นอกจากการรับประทานแล้ว ยาฮอร์โมนสามารถทำในรูปแบบแผ่นแปะผัวหนัง หรือเจลทา ยาสามารถซึมเข้าผิวหนังและเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อออกฤทธิ์ได้โดยตรง โดยไม่ผ่านกระบวนการทำลายยาที่ตับก่อนออกฤทธิ์ ( First pass metabolism) ในขณะที่ Estrogen ในรูปแบบยาเม็ด เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารแล้ว จะถูกดูดซึมเข้าสู่ตับ ถูกเอนไซม์ในตับทำลายหรือเปลี่ยนสภาพ (metabolized) ยาจนเหลือปริมาณที่ออกฤทธิ์น้อยลงมาก ดังนั้นในตำรับยาเม็ดจึงมักใช้ปริมาณยาเตรียมที่สูงเพื่อให้เหลือปริมาณที่ออกฤทธิ์ได้ในอวัยวะเป้าหมาย ส่วนยาฮอร์โมนที่ส่งผ่านทางผิวหนังจะใช้ปริมาณยาเตรียมที่ต่ำกว่ายาเม็ดเพราะไม่ถูกทำลายที่ตับก่อนออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมายนั่นเอง อีกทั้งยังคงระดับยาในกระแสเลือดอย่างคงที่มากกว่ายาเม็ด ในที่นี้ขอนำเสนอการให้ยาทางผิวหนังในรูปแบบแผ่นแปะผิวหนัง และเจลทาผิวหนัง
แบบแผ่นแปะผิวหนัง (Transdermal patches) แนะนำใช้ในผู้ที่ อายุ > 40ปี, สูบบุหรี่, ผู้ที่ตับมีปัญหา โดสที่แนะนำคือ 25 -200 ไมโครกรัม/วัน (ครึ่งแผ่น – 4 แผ่น) เปลี่ยนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หนึ่งแผ่นแปะ จะได้ตัวยา Estradiol 50 ไมโครกรัม/วัน แปะบริเวณผิวหนังที่อ่อนและไม่มีขน เช่น ท้องแขน ต้นแขน ต้นขา ท้อง หลัง แปะทิ้งไว้แม้ในขณะอาบน้ำได้
แบบเจลทา ใช้ 2.5 – 10 กรัม/วัน ทาวันละครั้ง (1-4 ไม้ตวง) หนึ่งไม้ตวง จะได้ตัวยาเอสตราดิออล 1.5 มิลลิกรัม ทาผิวหนังบริเวณที่สะอาด ผิวอ่อนและไม่มีขน เช่น แขน ต้นแขน ท้องแขน แก้มก้นด้านบน ท้องน้อย หลังเอว ต้นขา หลีกเลี่ยงบริเวณเต้านม หรือผิวที่มีเยื่อเมือก ไม่จำเป็นต้องนวดคลึงบริเวณที่ทายาเพราะยาไม่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า
อย่างไรก็ตาม ยาสูตรที่มี Estradiol ทั้งหลาย อาจมีผลข้างเคียง ควรหลีกเลี่ยง ใช้ปริมาณน้อย หรือหยุดสำหรับ
– ผู้มีความผิดปกติเช่น เป็นมะเร็งหรือเคยเป็นมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (เช่นมะเร็งเต้านม)
– ผู้มีประวัติหรือกำลังมีภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (Thrombosis) โดยเฉพาะที่ขา
– ผู้มีประวัติหรือกำลังเกิดภาวะลิ่มเลือดผิดปกติ โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ โรคตับ
– ผู้ที่แพ้หรือไวต่อเอสโตรเจนจากภายนอกร่างกาย
รูปแบบยาฉีด
ยาฉีดสามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากการฉีดเข้ากระแสเลือดโดยตรง ซึ่งไม่ผ่าน First pass metabolism เช่นเดียวกับยาที่ให้ทางผิวหนังอื่นๆ และเห็นผลค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตามอาจเกิดอันตรายได้ในรายที่แพ้ยาฉีด ถึงขั้นช็อคหมดสติ เกิดผื่น หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่ฉีด
หญิงข้ามเพศนิยมฉีดยาเป็นชุดคู่กัน หลอดหนึ่งเป็น Estradiol valerate หรือ Estradiol benzoate ร่วมกับหลอดที่เป็น Progesterone การใช้ยาฉีดที่มี Progesterone ร่วมกับ Estradiol จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดดำ หลอดเลือดหัวใจและสมองเพิ่มขึ้น รวมถึงไขมันในเลือดสูงมากกว่า เมื่อเทียบกับการฉีด Estradiol เดี่ยวๆ อนึ่งการใช้ Estradiol เดี่ยวอย่างปลอดภัย ควรคำนึงถึงปริมาณยาที่ฉีดเข้าไปแต่ละครั้ง ร่างกายได้รับมากกว่าแบบยาเม็ดหรือยาทา ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อระบบหลอดเลือด ไขมัน และภาวะซึมเศร้า ในระยะยาวได้เช่นกัน โดยเฉพาะในหญิงข้ามเพศที่หาซื้อยามาฉีดเองอย่างบ่อยครั้งเกิดความจำเป็น โดยขาดความรู้และไม่ได้อยู่ในวิจารณญาณของแพทย์ ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับหญิงข้ามเพศ คลินิกแทนเจอรีน ยังไม่แนะนำให้ใช้ยาฮอร์โมนชนิดฉีดแก่หญิงข้ามเพศ
ตัวอย่างสูตรการฉีดยาฮอร์โมนในหญิงข้ามเพศ (ทุกตัว ไม่แนะนำให้ฉีด)
ชื่อการค้า | ส่วนประกอบ | รายละเอียด |
Progynon | Estradiol valerate 10 mg | เป็นฮอร์โมนตัวเดียวกับ Progynova ซึ่งเป็นยาเม็ด แต่ไม่แนะนำให้ฉีด เพราะยังไม่ผ่าน อย. ในไทย และปริมาณที่ได้รับสูงกว่าการกิน ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว |
Proluton | Hydroxyprogesterone caproate (เป็น Progesterone ชนิดหนึ่ง) 250 mg | ใช้ป้องกันการแท้งบุตรและปรับสมดุลประจำเดือน หญิงข้ามเพศนิยมฉีดเพราะเชื่อว่าทำให้มีต้านมดูเป็นธรรมชาติ นิยมฉีดคู่กับ progynon หากใช้ในหญิงข้ามเพศ อาจเกิดผลต่อสุขภาพ หลอดเลือด หัวใจ อารมณ์ จึงไม่แนะนำให้ใช้ |
Oestradiol Benzoate | Estradiol benzoate 5 mg | มีคุณสมบัติเหมือน Estradiol valerate แต่ออกฤทธิ์ในร่างกายสั้นกว่า (รูปเกลือ Benzoate 4-8 วัน, valerate 7-8 วัน) มีการคงระดับในร่างกายไม่มากเท่ารูป valerate จึงต้องฉีดซ้ำบ่อยกว่า |
Phenokinon “F” | Estradiol benzoate 5 mg ผสมกับ Progesterone 50 mg | มีส่วนผสมกับ Progesterone ในหลอดเดียว จึงไม่แนะนำให้เป็นทางเลือกในการข้ามเพศ |
Duotone Fort T.P. | Estradiol benzoate 3 mg ผสมกับ Progesterone 50 mg | Estradiol benzoate ปริมาณต่ำ แต่มีส่วนผสมของ Progesterone จึงไม่แนะนำ |
2. Progesterone
• บางคนเชื่อว่าทำให้เต้านมมีการพัฒนาคล้ายธรรมชาติ
• บางการวิจัย พบว่าผลต่อเต้านม ยังไม่ชัดเจน
• การใช้โปรเจสเตอโรนในหญิงวัยทอง พบมะเร็งเต้านมสูงขึ้นโดยเฉพาะ การใช้ร่วมกับเอสโตรเจน
• หลาย guideline ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะอาจทำให้เกิดหลอดเลือดดำอุดตัน เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองเพิ่มขึ้น มีภาวะซึมเศร้า มีน้ำหนักเพิ่ม และไขมันในเลือดสูง
3. Anti Androgen hormones
คำว่า Androgen ใช้เรียกโดยรวมว่า เป็นฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งทำให้ร่างกายมีลักษณะความเป็นชาย ส่วน Testosterone เป็นหนึ่งในฮอร์โมนเพศชายที่หลั่งส่วนใหญ่ในร่างกาย กลไกสำคัญในการข้ามเพศของสาวประเภทสองคือ การเพิ่มฮอร์โมนหญิง และลดฮอร์โมนชาย โดยปกติแล้ว เมื่อเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเพียงอย่างเดียว ในระยะยาว ร่างกายจะมีกลไกกดการสร้างฮอร์โมนเพศชายให้ลดลงเอง หญิงข้ามเพศที่มีรูปร่าง หรือผิวละเอียด มีขนน้อย อาจเพียงแค่เสริมฮอร์โมนเพศหญิง และไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชายก็ได้ แต่บางรายที่ร่างกายมีความเป็นผู้ชายมาก หรือบางรายที่ไม่พึงพอใจในรูปร่าง ก็สามารถใช้ยาต้านฮอร์โมนในระยะหนึ่งจนพอใจ ทั้งนี้ต้องให้แพทย์คอยติดตาม การใช้ยาควรคำนึงถึง วัย และภาวะโรคภัยด้วย
ตัวอย่างของ Anti Androgen hormones ในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน
ชื่อการค้า | ตัวยาสำคัญ | รายละเอียด |
Androcur | Cyproterone acetate 50 mgขนาดแนะนำ 25-50 mg/วัน | เป็นยารักษามะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมนชาย เช่นมะเร็งต่อม ต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโต ผลทำให้ร่างกายมีความเป็นชายน้อยลง จึงนิยมนำมาใช้สำหรับข้ามเพศ ใช้บ่อยในยุโรปและในวงการสาวประเภทสองในไทย แต่ไม่แนะนำให้ใช้ระยะยาวเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ (UK guideline 2016) ส่วนในอเมริกา ไม่ใช้เพราะกังวัลผลข้างเคียงต่อตับ |
Aldactone | Spironolactone 100 mg ขนาดแนะนำ 100-300 mg/วัน | เป็นยาขับปัสสาวะ ที่ใช้รักษาโรคที่ร่างกายเสียสมดุลน้ำและเกลือแร่เช่นโซเดียมและโพแทสเซียม ทำให้เกิดการบวมน้ำ จึงต้องขับน้ำออก นอกจากนี้ยังใช้รักษา โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ โพแทสเซียมต่ำ อาการบวมจากหลายสาเหตุ เช่น หัวใจวาย โรคไต และตับแข็ง ยานี้ยังออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายได้ แต่หากใช้ในระยะยาวอาจทำให้ โพแทสเซียมในเลือดสูงได้ (Hyperkalemia) |
Proscar ,Propecia | Finasteride 5 mg ขนาดแนะนำ 2.5-5 mg/วัน | เป็นยารักษาผมร่วม ปลูกผม และภาวะต่อมลูกหมากโต ซึ่งมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายได้ อย่างไรก็ตามยังมีการศึกษาไม่มากนักถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ข้ามเพศ |
สรุปการใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศสำหรับหญิงข้ามเพศ
– ไม่แนะนำ ยาคุมกำเนิด, พรีมาริน, ยาเอสตราดิออลแบบฉีด
– ไม่แนะนำทุกรูปแบบ
– ควรใช้เอสตราดิออลควบคู่ไปกับยาต้านฮอร์โมนเพศชาย
– หญิงข้ามเพศที่ผ่าตัดอัณฑะออกแล้วหรือผ่าตัดแปลงเพศแล้ว แนะนำหยุดใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย ใช้เอสตราดิออลเพียงตัวเดียว เป็นฮอร์โมนทดแทน
อ้างอิง
ซิฟิลิส (Syphilis)
โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไปตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ
ติดต่อได้ 2 ทางคือ
2. ทางเพศสัมพันธ์ จากคู่นอนที่มีเชื้อถ่ายทอดให้อีกฝ่าย
วิถีป้องกันและปฏิบัติเกี่ยวกับซิฟิลิส
1.มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลซิฟิลิส คู่นอนอาจมีแผลที่ปาก ลิ้น อวัยวะเพศ ดังนั้นอาจติดเชื้อได้จากการจูบหรือทำ Oral sex
3.การทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆของคู่นอน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์
5.ไปพบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการดังกล่าว อย่ารักษาด้วยตัวเอง หรือไปพบแพทย์เมื่อมีความกังวลในอาการหรือสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึงซิฟิลิส
เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลอัพเดทวันที่ 29 พ.ย.2563 โดยองค์การอนามัยโลก
ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals ) หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถใช้ป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 ได้หรือไม่
การศึกษาเล็กๆจากหลายแหล่งให้ความสนใจว่ายาต้านรีโทรไวรัสจะสามารถป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 (SARS-CoV2) ได้หรือไม่ ปรากฏว่าผลการศึกษายังไม่สอดคล้องกันนัก
การศึกษาในช่วงที่ผ่านมานำเสนอว่าผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่ใช้ยา Tenofovir Disoproxil fumarate (TDF) มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโควิดน้อย อย่างไรก็ตามมีการศึกษาอื่นแสดงให้เห็นว่ายาต้านสูตรที่มี TDF ผสมอยู่ได้แก่ยา PrEP ไม่สามารถป้องกันได้ และก็ไม่สามารถเยียวยาโรคจากการติดเชื้อโควิด การศึกษานี้กลับพบว่ากลุ่มผู้ที่รับประทานยา PrEP มีอุบัติการณ์ของโควิทมากว่ากลุ่มที่ไม่รับประทาน
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร บทความต่างๆที่เกี่ยวข้องยังไม่มีหลักฐานพอจะสรุปได้ว่ายาต้านรีโทรไวรัส (หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี) สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิดแบบรายบุคคลได้ หรือช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยจากเชื้อโควิด ซึ่งหลักฐานที่พบก็ยังไม่มีความแน่นอนเนื่องจากเป็นการศึกษากลุ่มเล็กและความหนาแน่นของเชื้อที่กลุ่มประชากรมีโอกาสได้สัมผัสก็ยังไม่แน่ชัด
ดังนั้นในขณะนี้ ผู้ที่กินยา PrEP หรือ ยาต้านไวรัสรักษาโรคเอดส์ ที่มีความหวังให้ช่วยป้องกันเชื้อโควิด จึงควรมีการป้องกันตัวเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้รับยาเหล่านี้
องค์การอนามัยโลกมีคำแนะนำอย่างไรกับการใช้ ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals) หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี ในการรักษาหรือป้องกัน Covid-19
องค์การอนามัยโลกยังไม่แนะนำให้ใช้ยาต้านรีโทรไวรัสเพื่อรักษาหรือป้องกันเชื้อ Covid-19 นอกเหนือจากการทดลองทางคลินิกในขณะนี้ บทความและงานวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับยาต้านรีโทรไวรัสต่างๆ ก็ยังเป็นสังเกตการณ์จากธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับการทดลองทางคลินิกไม่กี่แห่ง และไม่ปรากฏหลักฐานที่มีคุณภาพที่จะมาสนับสนุน
การศึกษาล่าสุดพบว่ายา LPV/r (โลพินาเวียร์+ริโทนาเวียร์) ไม่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิดและไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ทางคลินิกของอาการจากโรคที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยจากเชื้อโควิดดีขึ้น มีการศึกษาอีกสองแห่งยืนยันผลเช่นเดียวกันนี้ ซึ่งไม่ส่งเสริมให้ใช้ยา LPV/r เพื่อรักษาผู้ป่วยจากโควิดที่กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากยาไม่ได้ลดอัตราการตาย ระยะเวลาที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล และความเสี่ยงที่จะเกิดอาการลุกลามจนถึงขึ้นใช้เครื่องช่วยหายใจ อีกทั้งการศึกษาขององค์การอนามัยโลกเองจากหลายประเทศ ก็ให้ผลว่ายานี้ให้ประสิทธิภาพน้อยหรือแทบไม่มีประสิทธภาพต่อการควบคุมอัตราการตาย การลดภาวะพึ่งเครื่องช่วยหายใจ และระยะเวลาของผู้ป่วยจากเชื้อโควิดที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
แหล่งอ้างอิง
https://www.who.int/news-room/q-a-detail/coronavirus-disease-covid-19-hiv-and-antiretrovirals
วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็น “วันสากลเพื่อยุติการเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ (the International Day against homophobia, transphobia and biphobia)” เหตุผลความจำเป็นที่จะต้องมีวันนี้เพราะด้วยสถานการณ์ที่กลุ่ม LGBTIQ ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจยังคงมีให้เห็นจากข่าวและสื่อออนไลน์ต่างๆ อยู่เสมอ
การก้าวผ่านช่วยเวลาที่เจ็บปวดของกลุ่ม LGBTIQ ที่ต้องเจอกับการล้อเลียนเชิงเหยียดเพศ การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่มันไม่ง่ายนักที่จะผ่านไปได้ง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วยส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างมากมายทั้งในด้านสุขภาพ อารมณ์ความรู้สึก นำไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกที่ส่งผลในการเข้าสังคม กลายเป็นปมปัญหาในใจที่ยากต่อการขจัดไปให้หมดสิ้น การพยายามหาทางออกด้วยตนเองกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องกระทำเพราะไม่มีใครคอยสนับสนุนพวกเขา ซึ่งหลายครั้งไม่มีอะไรมายืนยันว่าจะถูกต้องและได้ผลจริง เพราะแต่ละคนมีความเปราะบางที่แตกต่างกันไป
แต่สิ่งที่น่ากังวลใจมากกว่าปัญหาภายในจิตใจคือการยอมรับจากสังคมวงกว้าง การกำหนดขอบเขตในสิ่งที่พวกเขาเป็นได้และยอมรับให้เขาเป็นโดยปราศจากการคำนึงในเรื่องศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน รวมถึงการล้อเลียนเชิงเหยียดเพศและการถูกทำร้ายร่างกายจึงยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอ กลายเป็นเรื่องธรรมกาสามัญสร้างตราบาปฝังอยู่ในใจ
องค์กรแคร์แมท เชียงใหม่ ขอร่วมเป็นกระบอกเสียงหนึ่งในการสร้างควาตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสื่อสารเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและยอมรับการมีตัวตนของ LGBTIQ อย่างที่พวกเขาควรจะเป็น สนับสนุนให้กลุ่ม LGBTIQ ได้ก้าวข้ามและแสดงศักยภาพที่ตนเองมีเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่อย่างสวยงาม เกิดการยอมรับในความเท่าเทียมและใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปกติสุขในฐานะเพื่อนมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นในสังคม
เป็นที่รู้กันว่าผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน สามารถรับยาต้านไวรัส จนมีอาการดี สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นโรคเอดส์ แต่กระนั้นก็ต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต ไม่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่าไหม? แล้วเรารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อ HIV คือ….?
คำตอบคือ “งดการมีเพศสัมพันธ์” … อ้าว ถ้างดไม่ได้ล่ะ ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
“โอ้ยยย มีเพศสัมพันธ์บ่อยมาก เปลี่ยนคู่ขาเป็นว่าเล่น”
“เคยติดเชื้อหนองในบ้าง ซิฟิลิสบ้าง แผลริมอ่อนบ้าง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“รับงานXXX ในและนอกสถานที่ รับงานเป็นหลักแหล่ง ไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่ว่าจะที่ผับบาร์ หรือตามเสาไฟถนน”
“คิดว่าตัวเองไม่เสี่ยง แต่อยากลองป้องกันดู ไม่แน่ใจว่าจะพลาดเมื่อไหร่”
“แฟนติดเชื้อ HIV แล้ว รักเขามาก แต่เรายังไม่ติดและมีเพศสัมพันธ์กัน”
“ไม่ชอบใช้ถุงยาอนามัย ไม่ฟิน ไม่สนุก ไม่รู้สึกเสียว ใช้ไม่สะดวก หาไม่ได้ ณ เวลานั้น คู่ไม่ยอมใช้ บลาๆๆๆ”
เดี๋ยวค่ะ ใจเย็น เรามีอีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือเข้าข่ายที่กล่าวมาข้างต้น สามารถรับประทานยาชนิดหนึ่งซึ่งช่วยได้ นั่นคือ ยา เพร็พ (PrEP)
PrEP ย่อมาจาก Pre Exposure Prophylaxis คือยาป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีในคนที่เสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อเอชไอวี (ก่อนมีเซ็กส์) ย้ำว่า ก่อนมีเซ็กส์ ถ้าหลังมีเซ็กส์แล้วกินยาภายใน 72 ชั่วโมง นั้นเรียกว่ายา PEP (Po
st exposure Prophylaxis) นะจ๊ะ
มีคนบอกว่า กินเพร็พก็เหมือนกินยาคุมกำเนิด คือกินเพร็พกันไว้ไม่ให้ติดเชื้อ HIV เหมือนกินยาคุมกันไว้ไม่ให้ท้อง ส่วนยา PEP เหมือนกินยาคุมฉุกเฉิน กินหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่เหนื่อยไหม ต้องหวาดระแวง ต้องรีบไปหายามากินให้ทันภายใน 72 ชั่วโมง และทั้ง PEP กับยาคุมฉุกเฉินก็มีประสิทธิภาพไม่ถึง 100% ซึ่งถ้าเรากินยาก่อนมีเซ็กส์เพื่อป้องกันไว้จะได้ผลป้องกันดีกว่าที่เรามากินทีหลังมีเซ็กส์แล้ว เหมือนเราเอากระสอบมากั้นไม่ให้น้ำท่วมบ้านเรา ย่อมดีกว่าปล่อยให้น้ำเข้าไปแล้ววิดออกจนเหนื่อย จริงไหม????
เพร็พป้องกันได้แค่ไหน?
คนที่กินยาสม่ำเสมอ สามารถป้องกันได้ 92% งานวิจัยและรายละเอียดที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
http://www.bangkok.go.th/upload/user/00000150/sti/060661/1.%20PrEP_TG_BMA_06062018%20KT_PP%20marked.pdf
หลายคนอาจยังสับสน ว่าศูนย์สุขภาพแคร์แมทของเรามีบริการยาอะไร PrEP หรือ PEP ซี่งที่ผ่านมา มีคนมาขอ PEP เยอะพอสมควร เป็นสิ่งดีที่เรายังตระหนักถึงการป้องกันอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดความเสี่ยงขึ้น แต่จะดีกว่าไหมที่เราเลือกที่จะป้องกันไว้ก่อนเลย สิ่งที่เราเรียกว่า”ความเสี่ยง” ก็แทบจะไม่มี ขอเรียนให้ทราบว่า ณ ตอนนี้ เรามีเฉพาะยาเพร็พ (PrEP) ให้อย่างเดียว เรามาเน้น “ป้องกัน” กันแบบสบายๆ แบบเพร็พ ดีกว่า ป้องกัน กึ่งแก้ไข แบบPEP กันเถิดหนา
อย่างไรก็ตาม เราต้องขอย้ำอีกอย่างว่า PrEP และ PEP ป้องกันได้แค่ HIV แต่ไม่สามารถป้องกันโรคอื่นจากเพศสัมพันธ์ได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูด เริม แผลริมอ่อน ดังนั้น การป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัย ร่วมกับการกิน PrEP ด้วยทุกครั้งที่มีเซ็กส์
พี่ๆน้องๆ ท่านใดสนใจรับเพร็พ ติดต่อเราทีมแคร์แมทได้ สามารถสอบถามก่อนทางเพจของเฟสบุ๊คได้เลยค่ะ หรือพร้อมตรวจเลือด เดินเข้าคลินิกเราได้เลย เรามียาเพร็พ ฟรี เพียงแต่เรามีนัดตรวจเลือดทุก 3 เดือน กินยาได้นานเท่าที่คิดว่าหมดความเสี่ยงแล้ว
องค์กรแคร์แมทมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจากศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ให้เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ให้บริการยา PrEP โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดแก่กลุ่มเป้าหมาย ขอบคุณค่ะ/ครับ
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวัน VCT Day เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักให้ประชาชนทุกคนรู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการตรวจหากาติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสามารถเข้ารับบริการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง ทุกสิทธิการรักษา โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัด ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ พัฒนาการการให้บริการตรวจเลือดให้รวดเร็วขึ้น สามารถแจ้งผลตรวจให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ไปรับบริการ (Same day result) โดยยื่นบัตรประชาชนที่ห้องทำบัตร หรือติดต่อที่ห้องให้การปรึกษาเพื่อแจ้งความประสงค์แก่เจ้าหน้าที่และจะได้รับการปรึกษา ประเมินพฤติกรรมเสี่ยง ข้อมูลขั้นตอนในการตรวจเลือด และรับฟังผลเลือดภายในวันที่ตรวจ และหากพบว่าเกิดเชื้อเอชไอวีจะได้รับการเจาะเลือดหาระดับซีดีโฟร์และพบแพทย์เพื่อเข้ากระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาการแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อในด้านสุขภาพและชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่ 2527 เป็นต้นมา โดยยังมีการตรวจพบผู้มีเชื้อรายใหม่ ปีละ 6,139 ราย ทำให้มีผู้มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์ สะสมจำนวนทั้งสิ้น 433,778 ราย (พ.ศ.2559) ในส่วนอัตราความชุกของเอชไอวีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ร้อยละ 9.2 และพนักงานบริการชายร้อยละ 11.9 ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยากมีลักษณะเฉพาะเนื่องด้วยถูกมองว่ามีพฤติกรรมทางเพศที่แปลกและแตกต่างจากเพศสภาพของคนส่วนใหญ่ในสังคม และในปัจจุบันประเทศไทยมีแผนและความมุ่งมั่นในการยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 ด้วยชุดบริการ RRTTR (Reach Recruit Test Treat and Retrain) โดยเน้นให้บริการกับกลุ่มประชากรหลักที่มีพฤติกรรมและความเสี่ยงสูง
ในปี 2558 ได้มีโครงการนำร่องเรื่องการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยชุมชนซึ่งเป็นหนึ่งในบริการของศูนย์สุขภาพชุมชนภายใต้โครงการ LINKAGES โดยศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทยและองค์กร FHI360 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) มีพื้นที่การทำงาน ใน 4 จังหวัด (กรุงเทพ สงขลา ชลบุรีและเชียงใหม่) ผ่านการดำเนินงานขององค์กรชุมชน 5 องค์กร ศูนย์สุขภาพชุมชนมีบริการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด และตรวจเลือดโดยสมัครใจแบบรู้ผลในวันเดียว (Same Day Result; SDR) รวมถึงการส่งต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยทำงานร่วมกับสถานบริการด้านสุขภาพของรัฐและเอกชนในพื้นที่ ซึ่งผลการดำเนินงานทั้งประเทศพบว่าศูนย์สุขภาพชุมชนสามารถตรวจเลือดได้ร้อยะ 42.4 ของการตรวจเลือดทั้งประเทศ และสามารถวินิจฉัยผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ร้อยละ 31.4 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศ
ศูนย์สุขภาพแคร์แมท เป็นหน่วยบริการที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานขององค์กรแคร์แมท เชียงใหม่ องค์กรสาธารณประโยชน์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 ศูนย์สุขภาพแคร์แมทก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ภายใต้แนวคิด “ตรวจเร็ว รู้เร็ว รักษาเร็ว” (Test and Treat Model) ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (Man who have sex with man-MSM) และสาวประเภทสอง (Transgender-TG) รวมถึงพนักงานบริการชาย (Male Sex Worker) โดยมีบริการให้คำปรึกษาเพื่อประเมินพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และเชื้อซิฟิลิส (Syphilis) ด้วยความสมัครใจ การประสานส่งต่อผู้มีผลเลือดบวกเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ร่วมกับสถานพยาบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งการติดตามดูแลสนับสนุนเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคงสถานะผลเลือดลบและการจัดการชีวิตหลังการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราให้บริการอะไรบ้าง?
เทศกาลสงกรานต์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในประเทศไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นของปีใหม่แบบไทย คำว่าสงกรานต์มาจากคำในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่าเส้นทางโหราศาสตร์ โดยเป็นเทศกาลพุทธแบบดั้งเดิมและมีการเฉลิมฉลองทุกปีในระหว่างวันที่ 13 ถึง 16 เมษายนเทศกาลสงกรานต์เป็นที่รู้จักกันในชื่อเทศกาลเล่นน้ำ เป็นพิธีการเฉลิมฉลองโดยใช้น้ำเพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีจากปีเก่าให้หมดไป คนที่เฉลิมฉลองสงกรานต์มีส่วนร่วมในการรดน้ำดำหัวแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการล้างเคราะห์และล้างบาปให้ออกไปจากชีวิต บางคนก็เพิ่มสมุนไพรลงไปในน้ำที่ใช้ทำพิธีเช่นกั
เนื่องจากเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี การเฉลิมฉลองด้วยน้ำจึงมีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลในหลายระดับ อย่างไรก็ตามสงกรานต์ไม่ได้มีการเฉลิมฉลองแบบดั้งเดิมเสมอไป ในเมืองใหญ่ ผู้คนจะออกมาตามถนน ตามเมืองต่าง ๆ เช่นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือจังหวัดท่องเที่ยวในแต่ละภาคจะเห็นปาร์ตี้ตามท้องถนนและการต่อสู้ด้วยน้ำ ในช่วงวันหยุดราชการสำนักงานและธนาคารจะปิดทำการเป็นระยะเวลาสามวัน หลายคนใช้เวลานี้เป็นโอกาสที่จะไปเยี่ยมครอบครัวของพวกเขา นอกเหนือจากพิธีกรรมทางน้ำและงานปาร์ตี้ริมถนนแล้วยังมีกิจกรรมสำคัญอื่นๆ ที่คนไทยมีส่วนร่วมในช่วงสัปดาห์นี้ หลายคนจะใช้เวลานี้ไปวัด บางคนอาจมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้านประจำปีของของพวกเขา
ในวันที่สองของวันสงกรานต์ หลายครอบครัวจะตื่นแต่เช้าและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิม พวกเขาจะถวายทานแก่พระสงฆ์ พวกเขายังมีส่วนร่วมในพิธีกรรมที่เรียกว่า ‘การสรงน้ำพระพุทธรูป’ ในระหว่างพิธีกรรมนี้สาวกผู้ศรัทธาจะรดน้ำลงบนพระพุทธรูปในบ้านของพวกเขา และที่วัดในท้องถิ่นของพวกเขา ในส่วนงานรื่นเริงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเชียงใหม่อยู่ที่รอบๆคูเมือง และถนนห้วยแก้ว เป็นงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่คนหลายพันคนได้ต่อสู้กันด้วยปืนฉีดน้ำ ลูกโป่ง และอุปกรณ์อื่นๆ ที่พวกเขาสามารถหาได้ ถนนยังแออัดไปด้วยผู้ขาย/ผู้หญิงปืนฉีดน้ำ ของเล่น อาหาร และเครื่องดื่มและของมึนเมาและอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ในที่สุด
ศูนย์สุขภาพแคร์แมทให้บริการให้การปรึกษาและตรวจหาเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับกลุ่มชายรักชาย (MSM) สาวประเภทสอง (TG) รวมถึงพนักงานบริการชาย (MSW) แบบรู้ผลในวันเดียว สนับสนุนอุปกรณ์การป้องกันถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น รวมถึงบริการยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อฯ (PrEP) โดยเปิดให้บริการทุกวันอังคาร ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 19.00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. สามารถติดต่อเราได้ที่ Tel : 052-005458 หรือwww.caremat.org
แหล่งที่มาของข้อมูล : https://publicholidays.asia/thailand/th/songkran-festival
การพัฒนากระบวนการเพื่อเข้าถึงกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงโดยใช้รูปแบบของเครือข่ายเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อสนับสนุนการทำงานยุติปัญหาเอดส์ของประเทศไทยขององค์กรแคร์แมท ดำเนินการโดยกระบวนการเสริมศักยภาพผู้รับบริการที่ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีให้มีความรู้และทักษะในการให้ข้อมูลเรื่องเอชไอวีกับกลุ่มเพื่อนที่ยังมีพฤติกรรมเสี่ยง การสร้างแรงจูงใจในการนำกลุ่มเป้าหมายให้มารับบริการที่ศูนย์สุขภาพ และการประสานภาคีเครือข่ายการทำงานในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการเพื่อให้เกิดการทำงานที่ยั่งยืน เป็นกระบวนการสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายเพื่อยุติปัญญาเอชไอวี/เอดส์ได้อย่างแท้จริง
จากข้อมูลสถานการณ์การระบาดของเอชไอวีในประเทศไทยโดยการนำเสนอของศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข (TUC) ในเวทีเสวนาเรื่องการจัดบริการสุขภาพโดยชุมชน เมื่อวันที่11 มกราคม 2560 ที่ผ่านมาข้อมูลการคาดประมาณการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ยังพบว่ากลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง รวมถึงพนักงานบริการชายยังมีจำนวนที่สูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ โดยคิดเป็นร้อยละ 49 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดจำนวน 6,139 ราย/ปี (Summary Result 2010-2030 Projection for HIV/AIDS in Thailand by Thailand Working Group on HIV/AIDS Projection) ซึ่งก่อให้เกิดส่งผลกระทบในหลายด้านทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพ การรับและถ่ายทอดเชื้อ การใช้ชีวิตทางเพศที่ปลอดภัย ประเด็นสุดท้ายคือผลกระทบในเรื่องการของตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศของคนทั่วไป หน่วยงานด้านสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนจึงได้ร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในรูปแบบของชุดบริการ RRTTPR ซึ่งได้แก่
นอกจากนี้ยังรวมถึงงานด้าน Prevention การส่งเสริมการป้องกันไม่ว่าผู้รับบริการจะมีผลเลือดจะเป็นลบหรือบวกด้วยการแจกอุปกรณ์การป้องกันซึ่งได้แก่ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นสำหรับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ซึ่งแนวทางนี้ถือว่าเป็นแนวทางการทำงานหลักของหน่วยงานผู้ให้บริการสุขภาพทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ในประเทศไทย
องค์กรแคร์แมทเป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ไม่แสวงผลกำไร มีการดำเนินงานด้านการดูแลและสนับสนับสนุนกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสองที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 และในปัจจุบันได้เปิดบริการศูนย์สุขภาพชุมชนแคร์แมทเพื่อให้บริการให้คำปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจโดยในปี พ.ศ. 2558 – 2560 มีผู้มาใช้บริการรวมทั้งสิ้น 4,874 ราย แยกเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย 3,794ราย และสาวประเภทสอง 1,080 ราย มีการตรวจพบสถานะการมีเชื้อเอชไอวี จำนวน 407 ราย และมีสถานะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 110 ราย (M&E: รายงานสรุปข้อมูลผู้มาใช้บริการศูนย์สุขภาพแคร์แมท,ตุลาคม 2560) โดยทั้งหมดได้มีการประสานต่อกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตามสิทธิของผู้รับบริการ
แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่ถูกประเมินว่าเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาของศูนย์ฯ ได้สะท้อนว่าการตัดสินใจเพื่อตรวจเลือดของกลุ่มเป้าหมายยังมีความไม่มั่นใจในคุณภาพและบริการในเรื่องของผลแลปการอ่านค่าผลเลือดที่ออกมาของศูนย์สุขภาพ รวมถึงเชื่อมประสานการทำงานกับหน่วยงานผู้ดูแลและให้บริการด้านสุขภาพในแต่ละพื้นที่ขององค์กรแคร์แมทยังมีน้อยเมื่อมี
การประสานต่อส่อกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่กระบวนการรักษาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลและสนับสนุนจึงทำให้ขาดการติดตามเรื่องการดูแลสุขภาพที่ต่อเนื่องของกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ องค์กรแคร์แมทจึงได้ดำเนินการประสานความร่วมมือการทำงานกับหน่วยงานผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (รพ./รพสต.) หน่วยงานสถานศึกษา ผู้นำชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาด้านเอชไอวี/เอดส์และสุขภาพแบบองค์รวม โดยการจัดประชุมสร้างความเข้าใจและกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการทำงานเพื่อยุติปัญหาเอดส์ซึ่งถือเป็นปัญหาด้านสุขภาพของคนทุกคนในชุมชน
การดำเนินการเพื่อยุติปัญหาเอดส์ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศที่จะนำไปสู่ความสำเร็จประเด็นสำคัญคือต้องให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลที่รอบด้านสามารถวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของตัวเอง มีทางเลือกในการใช้บริการด้านสุขภาพโดยคำนึงเรื่องพื้นที่ปลอดภัย ไม่ตีตราและเลือกปฏิบัติ ตลอดจนมีคุณภาพมาตรฐานที่เท่าเทียมกันกับระบบบริการปกติของภาครัฐ มีเพื่อนที่คอยสนับสนุนและติดตามดูแลสร้างความตระหนักในการป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนจากภาคส่วนต่างๆ ในการร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของคนไทยที่เท่าเทียมกันทุกคน
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD (Sexually Transmitted Disease) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีดังนี้:
เป็นไวรัสสาเหตุของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์
เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคซึ่งไม่ใช่หนองในแท้ (Gonococcal Urethritis) สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมที่พบบ่อยที่สุดคือ Chlamydia trachomatis คนไทยจะรู้จักกันในชื่อ “ฝีมะม่วง” ซึ่งหมายถึงต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบจากการติดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบและปวด หรือที่ชาวบ้านเรียก “ไข่ดันบวม” ก็เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis นี่เอง
โรคติดเชื้อทริโคโมนาสเป็นโรคติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่ง ปกติแล้วมักอาศัยอยู่ในช่องคลอด แต่ก็พบเชื้อนี้อาศัยอยู่ในท่อปัสสาวะ (องคชาติ) ของผู้ชายเช่นกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการใดๆ แต่บางคนอาจตกขาวสีเหลือง มีลักษณะเป็นฟอง มีอาการคันที่อวัยวะเพศหรือเจ็บบริเวณแคมของช่องคลอด ส่วนผู้ชายมักจะไม่มีอาการ แต่อาจทําให้ปัสสาวะขัดได้ โรคติดเชื้อทริโคโมนาสติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอดกับผู้ที่เป็นโรคโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น
HPV เป็นเชื้อไวรัสที่พบบ่อย คนส่วนใหญ่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ โดยเฉลี่ยไวรัสนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ และมากกว่า 30 สายพันธุ์เกิดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
บางคนที่ติดเชื้อ HPV โดยไม่มีอาการแสดงออกของโรคและหายไปเอง แสดงว่าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมาก โดยทั่วไป HPV จะติดต่อกันโดยการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ บริเวณหูด หรือส่วนที่ติดเชื้อไวรัส เป็นส่วนน้อยที่ติดต่อกันจากการร่วมเพศทางปาก ซึ่งยังไม่มีผลยืนยันว่าการสัมผัสของนิ้วมือหรือวัตถุที่ติดเชื้อไวรัสจะสามารถส่งต่อเชื้อได้ ส่วนยารักษาในปัจจุบันยังไม่มีตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อไวรัส HPV ได้ แต่ยาสามารถรักษาอาการของหูดได้
เริม คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มาจากเชื้อ herpes simplex virus type 1 (HSV-1) หรือ type 2 (HSV-2) ที่พบเห็นส่วนมากมักจะเป็นชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศ อาจลามติดเชื้อไปที่ส่วนอื่นของร่างกายและทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ บนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนัง เชื้อจะแบ่งตัวทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัว แต่หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็อาจเกิดการแบ่งตัวได้ และทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำ
ผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 80
ปัจจัยที่กระตุ้นยังไม่แน่ชัด เชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่า และหายเร็วกว่าการเป็นครั้งแรก
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือดและไปจับตามอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคตามอวัยวะ
โรคตับอักเสบบี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ ซึ่งผู้ที่มีเชื้ออาจไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ ส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
ไวรัสตับอักเสบซี แพร่กระจายมากขึ้น เนื่องจากพบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยประมาณประมาณ 1-2% ของคนที่มาบริจาคเลือด หลังเป็นตับอักเสบแล้วก็มีแนวโน้มเกิดเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
20% ของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังชนิดซี จะเป็นตับแข็งภายใน 10-20 ปี บางส่วนกลายเป็นมะเร็งตับ
แหล่งข้อมูล: www.adamslove.org