คัดลอกจากและนำเสนอเนื้อหาบางส่วนจาก บทความวิชาการเพื่อการศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์
เรื่อง การใช้และความปลอดภัยของฮอร์โมนสาหรับเปลี่ยนกายภาพ ทางเพศในหญิงข้ามเพศ (Use and safety of hormone treatment for transforming physical sexual appearance in transgender women)
รศ. ดร. ภญ.จุราพร พงศ์เวชรักษ์
สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความปลอดภัยของการได้รับฮอร์โมน ในหญิงข้ามเพศ
โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด [6, 8, 9]
ในภาพรวม การศึกษาเชิงระบาดวิทยาชนิด retrospective cohort หลายการศึกษาในยุโรป ติดตามผลเป็นระยะเวลา 4 ปี จนถึงตลอดชีวิต พบว่าหญิงข้ามเพศ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าหญิงทั่วไป ด้วยช่วงอัตราความเสี่ยง 1 ถึง 2.9 และมีอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจขาดเลือด 1.64 เท่า (95%CI 1.43-1.87) เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป และเพิ่มขึ้นเป็น 3.12 (95% CI, 1.28–7.63) ในกลุ่มที่ได้รับ ethinyl estradiol 100 ไมโครกรัมต่อวัน ร่วมกับ CPA 100 มิลลิกรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนหรือเคยได้รับ [18-19] ซึ่งในปัจจุบัน ethinyl estradiol ไม่มีที่ใช้ในหญิงข้ามเพศอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ทราบกันดีอยู่แล้วได้แก่ ดัชนีมวลกายที่สูง สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและการดารงชีวิตที่ไม่มีการออกแรงกาย อายุเมื่อเริ่มการใช้ฮอร์โมนเพื่อเปลี่ยนสภาพเพศ ก็มีความสาคัญต่อระยะเวลาของการมีปัจจัยเสี่ยง อย่างไรก็ตาม พบว่าหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมน มีระดับไขมันที่ดี คือ มีระดับ HDL-C เพิ่มขึ้นและระดับ LDL-C ลดลง [15, 19] เมื่อพิจารณาจากข้อจากัดของรูปการศึกษาที่เป็นข้อมูลย้อนหลังและเป็นกลุ่มประชากรยุโรป ยังไม่อาจสรุปได้ว่าหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดสูงกว่าหญิงทั่วไป และไม่อาจนามาคาดการณ์กับหญิงข้ามเพศไทยได้
การเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ พบว่าการศึกษาให้ผลที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจเนื่องจากรูปแบบการศึกษาที่แตกต่างกัน มีทั้งการศึกษาชนิด cross-sectional และการศึกษาชนิด retrospective cohort จึงทาให้การรายงานผลมีทั้งอัตราความชุก/อุบัติการณ์ และอัตราเสี่ยง รวมถึงกลุ่มเปรียบเทียบมีทั้งชายและหญิงทั่วไป [18]
ดังนั้นอุบัติการณ์ที่แท้จริงของเหตุการณ์ด้านหัวใจร่วมหลอดเลือดรวมถึงการเสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ยังต้องการการศึกษาที่มีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่และติดตามไปข้างหน้าในระยะเวลาที่นานเพียงพอ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการศึกษาที่เป็นข้อมูล real world ในยุโรป กาลังดาเนินการอยู่ต่อเนื่อง [15]
ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ [6, 8, 9]
เป็นที่ทราบกันดีว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีคุณสมบัติก่อลิ่มเลือด ทาให้เพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ ซึ่งขึ้นกับขนาดยา และปัจจัยบุคคลด้วย ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น ดัขนีมวลกายสูงกว่า 25 กก./ม.2 ปัจจัยทางพันธุกรรม ประวัติเคยเกิดลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำมาก่อน การศึกษาในหญิงข้ามเพศ หลังจากได้รับฮอร์โมนไป 2 และ 8 ปี มีความเสี่ยงต่ออุบัติการณ์ของลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำสูงกว่าบุคคลโดยทั่วไป โดยมี risk difference เมื่อเทียบกับเพศชายทั่วไป 4 (95% CI 1.6-6.7) และ 16.7 (6.4-27.5) และเมื่อเทียบกับเพศหญิงทั่วไป 3.4 (1.1-5.6) และ 13.7 (4.1-22.7) ตามลาดับ ระยะเวลาของการได้รับฮอร์โมนที่นานขึ้น การได้รับ CPA ร่วมและการได้รับเอสโตรเจนรูปแบบรับประทาน จะเพิ่มความเสี่ยง ในขณะที่รูปแบบแผ่นติดผิวหนังและเจลทาผิวหนังไม่มีผลเพิ่มความเสี่ยง ดังนั้นในหญิงข้ามเพศทุกรายที่มีปัจจัยเสี่ยง หรือในรายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป จึงแนะนําให้ใช้เอสโตรเจนรูปแบบทางผิวหนัง
การทบทวนอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์ชนิดอภิมาน ที่ประกอบด้วยข้อมูลจาก 18 การศึกษา ในหญิงข้ามเพศกว่า 10000 คน พบอัตราความชุกของเหตุการณ์ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำรวมร้อยละ 2 และความชุกสูงขึ้นตามอายุและระยะเวลาที่ได้รับฮอร์โมน หญิงข้ามเพศที่อายุเฉลี่ยไม่เกิน 37 ปี หรือได้รับฮอร์โมนไม่เกินระยะเวลา 1 ปี ไม่พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ [20]
มะเร็ง [6-9]
มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน ข้อมูลย้อนหลังในกลุ่มหญิงข้ามเพศ ประเทศเนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการได้รับฮอร์โมนต่อเนื่อง พบว่าอัตราของอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมในหญิงข้ามเพศไม่ได้สูงกว่าหญิงทั่วไป แต่สูงกว่าผู้ชายทั่วไป ดังนั้นหญิงข้ามเพศจึงควรรับการคัดกรองเช่นเดียวกับหญิงทั่วไป มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน ในหญิงข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนต้านแอนโดรเจน มีอัตราของอุบัติการณ์ต่ำากว่าในชายทั่วไป (incidence ratio 0.2, 95% CI 0.08-0.42)
กลุ่มที่ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนและยาต้านฮอร์โมนเพศชาย CPA มีรายงานความชุกของเนื้องอกต่อมใต้สมอง ชนิดที่สร้างฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactinoma) และเนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง (meningioma) สูงขึ้น ซึ่งยังไม่ทราบเหตุผล
เอกสารอ้างอิง
6. Hembree WC, Cohen-Kettenis PT, Gooren L, Hannema SE, Meyer WJ, Murad MH, Rosenthal SM, Safer JD, Tangpricha V, T’Sjoen GG. Endocrine treatment of gender-dysphoric/gender-incongruent persons: an endocrine society clinical practice guideline. J Clin Endocrinol Metab 2017; 102(11): 3869–903. doi: 10.1210/jc.2017-01658.
พล, บรรณาธิการ. คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศประเทศไทย.-พิมพ์ครั้งที่ 1.-กรุงเทพฯ : กันต์รพีเพรส จากัด. 2563. หน้า 27-44, 135-154.
Totaro M, Palazzi S, Castellini C, Parisi A, D’Amato F, Tienforti D, Baroni MG, Francavilla S, Barbonetti A. Risk of venous thromboembolism in transgender people undergoing hormone feminizing therapy: a prevalence meta-analysis and meta-regression study. Front Endocrinol 2021; 12: 741866. doi: 10.3389/fendo.2021.741866.
ก่อนอื่นมาร่วมตอบแบบสำรวจกัน
SOGIE หมายถึงรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ และการแสดงออก SOGIE มักถูกพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นของ LGBTQ แต่ไม่จำกัดเฉพาะคนกลุ่มนี้ ทุกคนมี SOGIE!
Sexual Orientation: SO หรือ รสนิยมทางเพศ หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกเชิงชู้สาว และความดึงดูดทางเพศต่อ… (หรือไม่ดึงดูดต่อ…) ทั้งในเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน เช่น เลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวลอยู่ภายใต้ร่มนี้ นั่นเป็นเพราะเราพูดถึงคนที่ดึงดูดใจ รักต่างเพศ (มักใช้คำว่า Cisgender หรือ Straight) ก็อยู่ภายใต้ร่มนี้ เป็นสัญชาตญาณที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ เป็นปกติของความเป็นมนุษย์
แม้ว่าคำว่า “เพศ” จะเป็นชื่อเรียก แต่รสนิยมทางเพศในความหมายกว้างที่สุดยังครอบคลุมถึงแรงดึงดูดทางอารมณ์และโรแมนติกด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีเพศสัมพันธ์อาจไม่ได้รับแรงดึงดูดทางเพศ พวกเขาอาจยังคงสัมผัสกับแรงดึงดูดที่โรแมนติกและยังคงสนใจในความสัมพันธ์กับผู้อื่น คำต่างๆ เช่น เฮเทอโรแมนติก (Heteromantic) โฮโมโรแมนติก (Homoromantic) และไบโรแมนติก (Biromantic) อยู่ภายใต้ร่มนี้
Gender Identity: GI หรือ อัตลักษณ์ทางเพศ หมายถึง ความสำนึกรู้และการแสดงออกทางเพศภาวะเกี่ยวกับความเป็นเพศภาวะของตัวเองซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด อัตลักษณ์เป็นเรื่องส่วนบุคคลและถูกกำหนดโดยบุคคลที่ระบุตนเองเท่านั้น The Human Rights Campaign (HRC) อธิบายอัตลักษณ์ทางเพศว่าเป็น “แนวคิดที่ลึกที่สุดเกี่ยวกับตนเองว่าเป็นเพศชาย เพศหญิง ผสมผสานกันของทั้งสองอย่าง หรือไม่มีเลย – นั่นคือปัจเจกบุคคลรับรู้ตนเองและสิ่งที่พวกเขาเรียกตนเองว่าอย่างไร”
เพศของคนๆ หนึ่งเป็นเรื่องทางชีววิทยาและมักกำหนดให้ตั้งแต่แรกเกิดโดยพิจารณาจากลักษณะทางกายวิภาคภายนอกที่สังเกตได้ ซึ่งอาจเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือเพศกำกวม ในขณะเดียวกัน เพศในสำนึกของคนเราอาจไม่จำเป็นต้องตรงกับเพศกำเนิดตนก็ได้ ตัวอย่างเช่น คนข้ามเพศจะระบุเพศตนที่ต่างกับเพศแรกเกิด
Gender Expression: GE หรือ การแสดงออกทางเพศภาวะ หมายถึงวิธีที่ “บุคคลแสดงออกหรือนำเสนอเพศของตนในที่สาธารณะ” อาจรวมถึงเสื้อผ้า พฤติกรรม ความสนใจ และลักษณะทั่วไป ซึ่งอาจมาจากการสั่งสอนของครอบครัว เช่น ผู้ชายต้องแต่งกายสีเข้ม มีความเข้มแข็ง ส่วนผู้หญิงควรไว้ผมยาว แต่งหน้า ท่วงท่าการเดิน ความอ่อนโยน
แม้ว่าการแสดงออกทางเพศจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอัตลักษณ์ทางเพศ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการแสดงออกทางเพศนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากเช่นกัน บุคคลจะเป็นผู้เลือกว่าจะแสดงออกอย่างไร การแสดงออกทางเพศของคนนั้นไม่จำเป็นต้องตรงกับความคิดของสังคมที่วางกรอบอัตลักษณ์ทางเพศที่แน่นอนของคนไว้
Sex Characteristic: SC หรือ เพศสรีระ หมายถึง ลักษณะทางเพศของบุคคลที่ติดตัวมาแต่กําเนิดซึ่งถูกกําหนดให้เป็น 2 เพศ นั่นคือ เพศหญิง และเพศชาย
การเป็น QUEER หมายถึงอะไร?
Queer เป็นคำศัพท์ SOGIE ที่สามารถอธิบายถึงรสนิยมหรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลที่ไม่ใช่เพศตามที่สังคมคุ้นเคย (นั่นคือสังคมมักกำหนดว่า Cis-Heterosexual เป็นเพศปกติ) ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เป็น Queer อาจรู้สึกดึงดูดใจต่อเพศเดียวกันเท่านั้น แต่ระบุตนเองว่าเป็น cisgender หรือ รู้สึกดึงดูดใจกับทุกเพศและระบุตนเองว่าเป็น non binary
น่าเศร้าที่ queer ถูกใช้เป็นคำดูถูกเหยียดหยาม LGBTQ ในอดีต ดังนั้นบางคนในชุมชนจึงไม่สบายใจที่จะใช้คำนี้เพื่ออธิบายตัวเอง ถึงกระนั้น หลายคนเลือกที่จะเรียกตัวเองด้วยคำนี้อย่างเต็มภาคภูมิ ทางที่ดีที่สุด ควรถามว่าพวกเขาระบุตัวตนอย่างไรก่อนที่จะพูดถึงพวกเขาว่าเป็น Queer
ความสำคัญของ SOGIE
SOGIE เป็นส่วนสำคัญของตัวตนของบุคคล ว่าเป็น queer หรือ cisgender หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้ระบุว่าตัวตนว่าเป็น straight หรือ cisgender เนื่องจากมันทำให้พวกเขามีภาษาในการแสดงออกเรื่องเพศและเพศภาวะในทางที่เหมาะสมและแท้จริงมากขึ้น
ปัจจุบัน หลายประเทศยอมรับว่าคุณลักษณะของ SOGIE ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ เพื่อให้แน่ใจว่าคนเพศทางเลือกรวมถึง queer ไม่ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม แต่กระนั้นยังมีบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ยังคงมีร่างกฎหมาย SOGIE ที่ยังไปไม่ถึงไหน (แล้วประเทศไทยล่ะ…?)
SOGIE มีไว้สำหรับทุกคน
SOGIE ดูเหมือนจะไปในทำนองเดียวกับประเด็น LGBTQ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าทุกคนมี SOGIE การทำความเข้าใจอย่างน้อยในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของ SOGIE ก็สามารถช่วยให้ทุกคนสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากขึ้นและเปิดกว้างมากขึ้นต่อกันและกัน
แหล่งอ้างอิง
เดือนมิถุนายน ของทุกปี คือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTAIQ+ (Pride Month) เรามักจะเห็นสีรุ้ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นธงสีรุ้งปลิวไสวนอกบ้านและในบาร์ ติดไว้ที่เสื้อและที่หลังกันชน ทั้งหมดนี้เป็นการประกาศที่เป็นสากลและภาคภูมิใจว่า #LoveIsLove แต่ใครเป็นคนสร้างธงสีรุ้ง และทำไมมันถึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน LGBT?
ธงสีรุ้งถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1978 โดยศิลปินชาวอเมริกันผู้เป็นทั้งนักออกแบบ ทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม และนักแสดง Drag queen ชื่อว่า Gilbert Baker เขาได้รับมอบหมายให้สร้างธงโดยนักการเมืองฮาร์วีย์ มิลค์ ไอคอนเกย์อีกคน สำหรับขบวนพาเหรดงาน pride ประจำปีของซานฟรานซิสโก
Baker ได้ให้สัมภาษณ์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ในปีค.ศ.2015 ว่าความคิดเรื่องธงที่เป็นตัวแทนของชุมชนเกย์และเลสเบียนเกิดขึ้นโดยบังเอิญกับเขาเมื่อ 2 ปีก่อนที่เขาจะสรรสร้างผลงาน นั่นคือปี 1976 เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีของอเมริกา โดยสังเกตว่าสัญลักษณ์ดาวและแถบจากธงชาติอเมริกันที่เรียงกันอย่างต่อเนื่องทำให้เขาตระหนักว่าคงต้องมีอะไรสักอย่างที่สื่อถึงวัฒนธรรมสำหรับชุมชนเกย์ และในฐานะนักแสดงแดร็กซึ่งเคยชินกับการสร้างเสื้อผ้าของตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะตัดเย็บสัญลักษณ์อันโดดเด่นนี้ในไม่ช้า
ในเวลานั้น ภาพที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์ที่กำลังเติบโตคือสามเหลี่ยมสีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกนาซีใช้เพื่อระบุกลุ่มรักร่วมเพศ Baker เห็นว่าการใช้สัญลักษณ์ที่มีอดีตอันมืดมนและเจ็บปวดนั้นไม่เคยเป็นทางเลือกสำหรับเขา เขาเลือกที่จะใช้สายรุ้งเป็นแรงบันดาลใจแทน
สีที่แตกต่างกันภายในธงหมายถึงการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากชาว LGBT มาในทุกเชื้อชาติ ทุกวัย และทุกเพศ และสายรุ้งก็มีทั้งธรรมชาติและสวยงาม ธงดั้งเดิมมีแปดสี แต่ละสีมีความหมายต่างกัน ด้านบนเป็นสีชมพูสด ( Hot pink) ซึ่งเป็นตัวแทนของเพศ สีแดงสำหรับชีวิต สีส้มสำหรับการรักษา สีเหลืองหมายถึงแสงแดด สีเขียวสำหรับธรรมชาติ สีเทอร์ควอยซ์แสดงถึงศิลปะ สีครามสำหรับความสามัคคี และสุดท้ายสีม่วงที่ด้านล่างสำหรับจิตวิญญาณ
ด้วยความช่วยเหลือจากอาสาสมัครเกือบ 30 คนที่ทำงานในห้องใต้หลังคาของ Gay Community Center ในซานฟรานซิสโก Baker สามารถสร้างธงสีรุ้งชิ้นแรกโด่งดังไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน จัดแสดงครั้งแรกที่ขบวนพาเหรดวันเสรีภาพเกย์ในซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1978
หลังจากเปิดตัวการออกแบบแล้ว ผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดต่างโบกสัญลักษณ์ใหม่ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างภาคภูมิ จากนั้น Baker ก็ออกแบบให้กับ Paramount Flag Company ซึ่งขายธงรุ่นที่มี 6 สี สีชมพูสดถูกตัดออกไป และสีเทอร์ควอยซ์กับสีคราม ถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินเป็นแถบสีเดียว เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานจริง หลังจากการลอบสังหารฮาร์วีย์ มิลค์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1978 ความต้องการธงสีรุ้งก็เพิ่มขึ้น ความนิยมเพิ่มขึ้นอีกครั้งในทศวรรษต่อมาเมื่อชาวฮอลลีวูดในเวสต์ฮอลลีวูดฟ้องเจ้าของบ้านเรื่องสิทธิ์ในการแขวนธงนอกบ้าน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธงสีรุ้งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจุบันมีให้เห็นทั่วโลกในฐานะตัวแทนเชิงบวกของชุมชน LGBT ธงรูปแบบยาวหนึ่งไมล์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 25 ปีของเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์ Stonewall Riots และการสร้างธงของ Baker เอง Baker เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2017 ขณะอายุ 65 ปี เพียงสองปีหลังจากการแต่งงานเพศเดียวกันถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา มรดกของเขายังคงอยู่ในธงหกสีที่โบกสะบัดอย่างภาคภูมิใจทุกเดือน Gay Pride ตระหนักถึงชีวิต และเป็นที่รักของชาว LGBT ทั่วโลก
อ้างอิงจาก
https://www.history.com/news/how-did-the-rainbow-flag-become-an-lgbt-symbol
แปลและเรียบเรียงจาก https://theswaddle.com/kink-101-everything-you-need-to-know-about-bdsm/
BDSM คือการปฏิบัติทางเพศที่มีอัตลักษณ์และกิจกรรมทางเพศที่หลากหลาย BDSM มักถูกมองว่าเป็นรสนิยมทางเพศด้านมืด นอกลู่นอกทาง และผิดปกติ ซึ่งมักจะบังคับให้ผู้เล่นต้องหลบเข้าไปในเงามืด เป็นกลุ่มลับที่อยู่แบบมิดชิด ซึ่งแปลกแยกจากสังคมส่วนใหญ่
ผู้เข้าร่วม BDSM ก็จะมี 3 แบบหลัก ได้แก่ ครอบงำ ยอมจำนน และแบบสลับไปมาระหว่างสองแบบแรก ซึ่งเพศวิถีนี้ก็มีความลื่นไหลและต่อเนื่อง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือคู่ของผู้เข้าร่วม
บีดีเอสเอ็มมีอะไร?
Bondage (พันธนาการ) : รูปแบบหนึ่งของการจำกัดการเคลื่อนไหวของผู้เล่นทางเพศ เช่น การใช้เชือกหรือกุญแจมือ การยับยั้งชั่งใจแบบนี้สามารถเพิ่มความเพลิดเพลินทางเพศให้กับบางคน และกระตุ้นความรู้สึกทางร่างกาย (ความอบอุ่น ความเย็น ความกดดัน ความเจ็บปวด) ในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
Discipline (ระเบียบวินัย) : กฎและบทลงโทษ ทั้งหมดตกลงกันก่อนการเผชิญหน้าทางเพศจะเริ่มขึ้น โดยปกติผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า จะใช้การควบคุมและกำหนดการกระทำของคู่ที่ยอมจำนน
Dominance: (การครอบงำ) การมีอำนาจเหนือคู่นอนทั้งในและนอกเพศสัมพันธ์ บางครั้ง ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดและจัดการกับคู่นอน (ด้วยความยินยอมของอีกฝ่าย) ไม่เพียงแต่พฤติกรรมบนเตียงของคู่นอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมนอกเหนือจากนั้นด้วย ตั้งแต่การกินไปจนถึงรูปแบบการนอนหลับ
Submission (การยอมจำนน) : การกระทำของผู้ยอมจำนนที่ยอมทำตามผู้มีอำนาจเหนือกว่า พวกเขาตัดสินใจหรือรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง พอๆกับ (หรืออาจมากกว่า) ที่ผู้มีอำนาจสั่งการรู้ตัว การสื่อสารระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ยอมจำนนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากต้องมีการกำหนดขอบเขต แบ่งปันความปรารถนา และได้รับการอนุญาต
Sadism , Masochism, Sadomasochism ซาดิสม์และมาโซคิสม์หรือซาโดมาโซคิสม์: ความสุขที่ผู้เข้าร่วม BDSM ได้รับจากการสร้างความเจ็บปวดให้คู่นอน (ซาดิสม์) หรือไมก็ได้รับความเจ็บปวดจากคู่นอน (มาโซคิสม์) สิ่งนี้อาจแสดงออกเป็นความเจ็บปวดทางอารมณ์ในรูปแบบของการทำให้อับอาย (humiliation) BDSM อาจรุนแรงได้ ถ้าคำว่า ‘รุนแรง’ ถูกดึงออกจากความสัมพันธ์เชิงลบทั้งหมด เรียกว่าการเล่นด้วยความรู้สึกรุนแรง BDSM เช่นการตบตี หยิก หรือทำให้คู่นอนได้รับอันตรายทางร่างกายอื่นๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความยินยอมพร้อมใจ ความยินยอมเป็นกุญแจสู่การแสดงออกที่ดีของลัทธิ Sadomasochism กิจกรรมสามารถหยุดลงได้ทุกเมื่อหากมีใครรู้สึกไม่สบายใจกับความรุนแรงของการเล่น
คนที่มีส่วนร่วมใน BDSM จัดการกับความยินยอมอย่างไร?
ความยินยอม ในลักษณะที่ไม่มีการบังคับ พร้อมกับกำหนดขอบเขตไว้ชัดเจน และไปในทิศทางที่กระปรี้กระเปร่า จะทำให้เกิดประสบการณ์ทางเพศที่ปลอดภัยและสนองความต้องการอย่างครอบคลุมสำหรับคู่นอนทุกคน สามารถระบุไว้ในสัญญาอย่างเป็นทางการ หรือข้อตกลงปากเปล่า แบบไม่เป็นทางการ หากผู้เล่นรู้สึกไม่สบายใจทั้งก่อนหรือระหว่างประสบการณ์ พวกเขาสามารถหยุดได้อย่างง่ายดาย และผู้เล่นคนอื่นต้องเคารพในการเปลี่ยนใจนี้ จากการสื่อทางคำพูด หรือการส่งสัญญาณให้หยุด
BDSM สามารถเข้ากับเพศสัมพันธ์แบบธรรมดาได้หรือไม่?
BDSM สามารถมีได้หลายรูปแบบ ที่เราเข้าใจมักจะเป็นแบบที่มีแส้ มีชุดหนัง เหมือนที่เห็นในการแสดง BDSM ที่เป็นลักษณะ Discipline, Sadomasochism , Submission สามารถแปลเป็นการกระทำได้หลากหลาย ที่จะเพิ่มเติมในเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการตีก้นหรือกัดเบาๆ การใช้กุญแจมือ แม้กระทั่งการปฏิเสธไม่ให้คู่นอนถึงจุดสุดยอด จิดใจคนเราก็มีความพิสดารอยู่เหมือนกัน ซึ่ง BDSM ให้สเปกตรัมที่กว้างซึ่งสามารถรองรับความต้องการทางเพศที่มีความเข้มข้นต่างกันได้
อะไรทำให้ใครบางคนเอนเอียงไปทาง BDSM?
ความพึลึกพิลั่นที่จะร่วมเพศแบบ BDSM อาจเป็นความปรารถนาที่มีมาแต่กำเนิด เหมือนกับเด็กที่เรียนรู้ว่าตัวเองเป็น queer หรือคนประหลาดจะค่อยๆ รู้จักตัวตนของพวกเขาเองเมื่อเวลาผ่านไป พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไม่จำเป็นต้องมี sex แบบนั้น ก็สามารถค้นพบ BDSM ได้ในภายหลัง บางทีอาจเพื่อเติมชีวิตชีวาให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือเพื่อค้นหาความตื่นเต้นในเรื่องเพศของพวกเขา
การมีความบอบช้ำทางใจ ((Trauma) จะนำเข้าสู่ความสนใจ BDSM หรือไม่?
มันไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมใน BDSM อย่างไรก็ตาม BDSM สามารถให้กำลังใจและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้รอดชีวิตจาก trauma ซึ่งอาจต้องการเอาชนะความบอบช้ำทางใจ ด้วยการปลดปล่อยความเจ็บช้ำอีกครั้ง ด้วยการควบคุมผลลัพธ์ในครั้งนี้ หากสมาชิกของชุมชน BDSM ให้การดูแล ความเคารพ และการสื่อสารกันอย่างเป็นปกติ ก็จะเกิดเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มี trauma ในการเปิดโลกและคงสภาพเรื่องเพศของพวกเขา
ทุกคนมีคนรักหลายคน (Polyamorous) ในชุมชน BDSM หรือไม่?
ไม่ ไม่จำเป็น BDSM เป็นเพศวิถีทางเลือก นั่นคือมันเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่สังคมถือว่าเป็นบรรทัดฐาน โดยธรรมชาติแล้ว BDSM ยังยอมรับเพศวิถีอื่นๆ เช่น การมีภรรยาหลายคน ชุมชน BDSM ยังยินดีต้อนรับเพศวิถีทางเลือกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์แบบผู้ครอบงำ-ผู้ยอมจำนน อาจเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือความสัมพันธ์แบบซ้อนทับกันแค่ไหน กลุ่มคนชายขอบก็มักยอมรับซึ่งกันและกัน
โดยสรุปแล้ว ตั้งแต่การพูดคุยโดยละเอียดและครอบคลุมก่อนที่จะทำ BDSM เพื่อกำหนดขอบเขตและยืนยันความต้องการทางเพศ การสื่อสารที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา การดูแลหลังการกระทำ ตลอดจนจริยธรรมของ BDSM สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิด สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและได้รับการเคารพ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาแสดงเพศวิถีของตนเองอย่างมั่นใจ
Save lives: Decriminalise รักษาชีวิต ยกเลิกการเอาผิดทางอาญา เพื่อยุติเอดส์
วันยุติการเลือกปฏิบัติ 2566 ภายใต้สโลแกน “รักษาชีวิต ยกเลิกการเอาผิดทางอาญา เพื่อยุติเอดส์” (“Save lives: Decriminalise”) โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอดส์) ให้ความสำคัญเรื่อง การยกเลิกการเอาผิดทางอาญากับกลุ่มประชากรหลักและผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเปนการรักษาชีวิตและช่วยยกระดับการยุติปญหาเอดส์ การที่กฎหมายเอาผิดทางอาญาหลายฉบับมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรหลักกลุ่มต่างๆ และผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเปนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลให้คนถูกตีตราและทำให้ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น เพราะเปนการสร้างอุปสรรคขัดขวางการเข้าสู่บริการและการสนับสนุนที่จำเปนสำหรับพวกเขาในการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเอง
ป พ.ศ. 2564 โลกตั้งเป้าหมายการปฏิรูปกฎหมายไว้สูงมากในการขจัดกฎหมายอาญาที่บั่นทอนการตอบสนองการแก้ไขปญหาเอชไอวีและละทิ้งประชากรหลักกลุ่มต่างๆ ไว้เบื้องหลัง บนความตระหนักว่า การยกเลิกการเอาผิดทางอาญาเปนองค์ประกอบสำคัญในการแก้ปญหา ประเทศต่างๆ ได้แสดงความมุ่งมั่นว่าในป พ.ศ. 2568 การใช้กฎหมายลงโทษและนโยบายแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปญหาเอดส์จะลดลงเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายอยู่บ้าง แต่โลกก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จตามเป้าหมาย รายงานของยูเอนเอดส์ระบุข้อเท็จจริงว่า ปจจุบันนี้ มี 134 ประเทศที่กำลังดำเนินการเอาผิดทางอาญาอย่างชัดเจนหรือดำเนินคดีกับการไม่เปดเผยสถานะของการมีเอชไอวีและทำให้เกิดการรับหรือส่งผ่านเอชไอวี มี 20 ประเทศที่เอาผิดทางอาญา และ/หรือดำเนินคดีกับคนข้ามเพศ มี 153 ประเทศที่กำหนดให้งานบริการทางเพศเปนความผิดทางอาญาในแง่ใดแง่มุมหนึ่งเปนอย่างน้อย และมี 67 ประเทศที่เอาผิดทางอาญากับการมีเพศสัมพันธ์ของเพศเดียวกันที่สมัครใจ นอกจากนี้ มี 48 ประเทศที่ยังคงกำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเดินทางข้ามพรมแดนของตน ในขณะที่ 53 ประเทศรายงานว่าต้องการให้มีการบังคับตรวจหาสถานะของการมีเอชไอวี เช่น เพื่อการจดทะเบียนสมรส หรือการประกอบอาชีพบางอาชีพ มี 106 ประเทศรายงานว่า วัยรุ่นที่ต้องการเข้าถึงการตรวจหาสถานะของการมีเอชไอวีจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
การเอาผิดทางอาญาส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมกันทางโครงสร้าง การเอาผิดทางอาญาปล้นเอาโอกาสการมีชีวิตที่แข็งแรง สมบูรณ์ไปจากผู้คน และถ่วงรั้งการยุติปญหาเอดส์
— ยุติการเอาผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี เพื่อรักษาชีวิต เพื่อยุติเอดส์ –
เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติ วันที่ 1 มีนาคม พวกเราเฉลิมฉลองสิทธิของทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ มีประสิทธิผล และดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี วันยุติการเลือกปฏิบัติให้ความสำคัญเรื่องการทำให้ผู้คนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และส่งเสริมการเข้าร่วม ความเห็นอกเห็นใจ สันติภาพ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง วันยุติการเลือกปฏิบัติกำลังช่วยสร้างความเคลื่อนไหวบนความสมานฉันท์เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ
ระบบชายเป็นใหญ่หรือปิตาธิปไตย (Patriarchy) เป็นคำที่ใช้อธิบายระบบสังคมที่เอื้อให้เพศชาย หรือ ‘ความเป็นชาย’ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เช่น พ่อ สามี ลูกชายที่มีสิทธิมีอำนาจเหนือเพศอื่น หรือแนวคิดที่เพศชายเป็นศูนย์กลางของสังคมเป็นผู้นำ ระบบนี้จะมอบอำนาจและโอกาสเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ให้กับความเป็น ‘ชาย’ มากกว่าเพศอื่นๆ
แม้ว่าชื่อของระบบที่ครอบโลกนี้ไว้คือ ‘ชายเป็นใหญ่’ แต่ทุกเพศทุกวัยก็สามารถรับวิธีคิดแบบจู๋เป็นเจ้าโลกมาปรับใช้ได้เหมือนกัน (ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) เช่น ผู้หญิงที่สวมบทบาทเป็นตำรวจศีลธรรม คอยจับตาตรวจสอบว่าผู้หญิงด้วยกันเองแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยหรือเปล่า เป็นกุลสตรีไหม เป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นภรรยาที่ดีของสามีหรือไม่ และส่งต่อความคิดเป็นลูกสาวต้องทำงานบ้าน เกย์ไม่ชอบกะเทยเพราะมองว่าสาวกว่า ไม่ชอบเกย์ที่ออกสาวกว่าตัวเอง หรือเป็นเกย์ต้องแมนๆ ไปกันแบบรุ่นสู่รุ่น
LGBTQ ในสถาบันชาติที่เป็นรัฐผู้ชาย
อันเนื่องจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เพศสภาพของชายรักต่างเพศถูกยกให้มีคุณค่าความหมายสูงกว่า ถูกทำให้กลายเป็นสถาบันหลักๆ เช่น ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ครอบครัว ศาล ทหาร การทูต รัฐจึงกลายเป็น ‘รัฐผู้ชาย’ (male state) ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งสารรับใช้หรือเป็นตัวแทนของระบบปิตาธิปไตย และก่อตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์เฉพาะผู้ชายรักต่างเพศมากกว่า และรัฐด้วยตัวของมันเองคือผู้กดขี่ในฐานะโครงสร้างอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงและเพศสภาพอื่นๆ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย คนชายขอบที่โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรน้อยกว่า และถูกให้คุณค่าความหมายต่ำกว่า
สถาบันเช่นนี้ไม่เพียงสร้างโครงสร้างที่เอื้อให้เพศชายมีอำนาจบทบาทเหนือเพศอื่นๆ แต่ยังแยกชายรักต่างเพศออกจากผู้หญิงและชายรักเพศเดียวกัน เป็นพื้นที่สังคมที่มีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมเป็นสังคมชายล้วน หรือแม้ว่าต่อมาจะเริ่มมีสมาชิกหญิงหรือเกย์แฝงเข้ามาแต่ก็ยังจะคงเป็นสถาบันในนามของผู้ชายรักต่างเพศ นำไปสู่การสร้างชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองสังคมในรูปแบบที่สร้างความชอบธรรมให้มีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงและรวมไปถึงชายรักเพศเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นโครงสร้างในทุกๆ วัฒนธรรมบนพื้นที่สาธารณะ
ยิ่งไปกว่านั้น การรวมกลุ่มเป็นสังคมผู้ชายก็เกิดมาจากความหวาดกลัวและรังเกียจคนรักเพศเดียวกัน โดยทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘homosexual panic’ ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงข้ออ้างหรือคำแก้ตัวของผู้ที่รังเกียจคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ที่ใช้ในการป้องกันตนเองจากข้อกล่าวหาทั้งทางกฎหมายหรือสังคม เพื่อให้ได้รับบทลงโทษน้อยลงจากการโจมตีทำร้ายใช้ความรุนแรงต่อคนรักเพศเดียวกัน หรือเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีคุกคามกลับ เป็นความหวาดกลัวอันเกิดจากความไม่มั่นคงในเพศสภาพและสถานะ ‘ความเป็นชาย’ ของตนเอง หรือเป็นความเจ็บป่วยทางจิตใจส่วนบุคคล
ศาสนาจากรากเหง้าชายเป็นใหญ่ มีมุมมองอย่างไรต่อ LGBTQ
“ไม่ตรงเพศสภาพกำเนิด = บาป”
เมื่อความหลากหลายทางเพศถูกมองเป็นเรื่องผิดหลักศาสนา ถูกอ้างด้วยศีลธรรมอันดี
“กฎหมายใดก็ตามที่ตราขึ้นมาแล้วขัดหรือแย้งกับพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีการถือปฏิบัติมาแล้ว 1,400 กว่าปี และไม่มีการแก้ไขแล้ว เราไม่สามารถที่จะรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อที่ 7 ให้คู่สมรสเพศเดียวกัน สามารถจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สามารถรับผู้เยาว์ได้”
ซูการ์โน มะทา ส.ส.จังหวัดยะลา พรรคประชาชาติ อภิปรายตอนหนึ่งถึงร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมตินัดพิจารณาว่าจะรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 หรือที่เรียกกันว่าร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่มีเนื้อหาสำคัญหลักๆ คือการเปลี่ยนข้อความในกฎหมายที่ระบุว่า ‘ชาย’ กับ ‘หญิง’ สามารถสมรสกันได้ เปลี่ยนเป็น ‘บุคคล’ กับ ‘บุคคล’ สามารถสมรสกันได้ รวมถึงการเปลี่ยนคำว่า ‘สามีและภรรยา’ ให้เหลือเพียงแค่ ‘คู่สมรส’ และกฎหมายฉบับนี้จะทำให้คู่สมรสทุกคู่มีสิทธิขอรับเลี้ยงดูบุตรบุญธรรมร่วมกันได้
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกถึงหลักการทางศาสนาต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า การที่บุคคลหนึ่งไม่ตรงเพศสภาพกำเนิดถือเป็นสิ่งแปลก ผิดธรรมชาติ หรือเป็นบาป เช่น อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่งขณะรับร่างอภิปราย พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างของกระทรวงยุติธรรม เพราะมีการจำกัดว่าคู่ชีวิตต้องเป็นเรื่องระหว่างเพศเดียวกันเท่านั้น และคู่สมรสต้องเป็นเรื่องระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น เพราะเป็นหลักธรรมชาติ การแต่งงานของเพศอื่นจึงไม่ใช่หลักธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องปกติ จำเป็นต้องมีกฎหมายพิเศษบังคับใช้ คือ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตของกระทรวงยุติธรรม
คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า เพศสัมพันธ์คือของขวัญจากพระเจ้า ควรจะเกิดขึ้นระหว่างการสมรสของชายกับหญิงเท่านั้น อิสลามจึงไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศเพราะเห็นว่าผิดธรรมชาติและไม่เป็นไปตามประประสงค์ของพระเจ้า
คัมภีร์ไบเบิล มีบัญญัติหลายข้อที่กล่าวว่าการรักร่วมเพศ = บาป การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเป็นบาป การใช้เครื่องแต่งกายของเพศตรงข้ามเป็นที่พึงรังเกียจแด่พระเจ้า
แม้ว่าพระไตรปิฎกจะไม่มีบัญญัติไหนเขียนว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกันเป็นบาป หรือการไม่ตรงเพศสภาพกำเนิดเป็นสิ่งขัดต่อหลักคำสอนแบบตรงๆ แต่ศาสนาพุทธได้ส่งต่อชุดความคิดที่ว่าการเป็นเกย์ ทอม ดี้ เป็นบุคคลที่ทำบาปในชาติที่แล้ว
คนที่เกิดและมีเพศตรงกับสภาพกำเนิดนั้น ชาติที่แล้วเป็นชายที่รักษาศีลข้อที่ 3 ไม่เจ้าชู้ไม่ผิดลูกเมีย ส่วนผู้หญิงชาติที่แล้วทำบุญมาเหมือนผู้ชาย แต่ในอดีตชาติเคยผิดศีลกาเม สุมิจฉาจาร จึงเกิดมาเป็นเพศหญิง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทางพุทธศาสนามีการเหยียด ‘ทุกเพศ’ โดยอาจตีความได้ว่า การที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเพศชายหรือเพศสภาพไม่ตรงเพศกำเนิด คือการทำบาปทำกรรมมามากว่าเพศชาย และคนที่เกิดมาเป็นเพศชายนั้นชาติที่แล้วทำบุญมามากเป็นผู้บริสุทธ์
การรังเกียจเพศเดียวกันในพุทธศาสนาไม่แตกต่างจากศาสนาในตะวันตก แต่พุทธศาสนานั้นรังเกียจผู้หญิงอย่างมาก และถูกทำให้ถูกต้องผ่านคำสอนในพุทศาสนาทั้งเถรวาทและมหายาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่การรังเกียจเพศหญิง แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือมีลักษณะแนวโน้มไปทางผู้หญิงก็จะถูกรังเกียจด้วย ดังนั้น เกย์บางคนที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงก็จะถูกรังเกียจหรือเลือกปฏิบัติไปด้วย
เพศหลากหลายหรือชายเป็นใหญ่? ในสื่อบันเทิง
จากบทความเรื่อง “ภาพจำของซีรีส์วายในประเทศไทย: เมื่อความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏบทหน้าจอ” โดย สิทธิศักดิ์ บุญมั่น (2564) ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการสำรวจซีรีส์วายไทยที่ออกอากาศในปี 2020 และต้นปี 2021 ของ Rocket Media Lab บนแพลตฟอร์มไลน์ทีวี ทั้งหมด 13 เรื่อง พบว่าเกือบทั้งหมดยังคงเสนอภาพของชายตรงเพศ (Straight) ที่รักกัน และทั้ง 100% จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ดูมีความเป็นชายมากกว่าอีกฝ่าย ซึ่งการนำเสนอเนื้อหาที่มีแต่ความเกี่ยวข้องกับเพศชายนั้นสร้างภาพจำให้คนดูยึดติดว่านักแสดงจะต้องเป็นชายตรงเพศเท่านั้น การนำเอานักแสดงที่อยู่ในกลุ่มชายรักชายมาเล่นซีรีส์วายกลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดแปลก และนับเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศถูกกีดกันให้กลายเป็นคนชายขอบ หรือหากเป็นตัวละครที่มีลักษณะอ่อนหวาน (Feminine) ก็อาจได้รับบทบาทสำคัญในเรื่อง แต่ก็ต้องถูกนำเสนอในลักษณะเป็นตัวตลก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนแต่สะท้อนชุดความคิดที่ผู้ชายต้องเป็นใหญ่เท่านั้น
แม้จะมีจุดขายเรื่องความรักชาย-ชาย แต่สิ่งที่ซีรีส์วายอาจทำได้ คือการไม่ละทิ้งกลุ่มคนหลากหลายทางเพศไว้ข้างหลัง หรือเลือกนำเสนอเพียงนักแสดงที่เป็น ‘สเตรต’ (Straight) เท่านั้น เพราะการบอกเล่าเรื่องราวจากกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจริง ๆ อาจสร้างการขับเคลื่อนและความเสมอภาคทางสังคมได้ดีกว่า หรือการพูดคุยอัตลักษณ์ทางเพศอื่น ๆ ที่มากกว่าชาย-ชาย ที่อยู่ในสังคมเช่นเดียวกันก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
LGBT เป็นคำที่หลาย ๆ คนรู้จัก แต่แท้ที่จริงแล้วนิยามความหมายของคนหลากหลายทางเพศไม่ได้มีเพียงแค่นั้น แต่ยังรวมไปถึง QIAN+ แล้วทำไมซีรีส์ไทยถึงให้ความสำคัญแค่ความรักของชาย–ชายเท่านั้น ในเมื่อยังมีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่มากกว่าความรักชาย–ชาย
แหล่งอ้างอิง
แปลและเรียบเรียง จาก https://www.psychologytoday.com/us/basics/relationships/love-and-sex
ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เสมอไปอย่างที่คนทั่วไปคิด ในระยะยาว คู่รักส่วนใหญ่จะเผชิญกับความท้าทายทางเพศ เนื่องจากร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและความต้องการทางเพศของแต่ละคนก็ลดลงเรื่อยๆ การวิจัยแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าคู่รักส่วนใหญ่มีปัญหาในการพูดเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อพวกเขาพูดออกไป ก็จะทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ความรักทำให้คนเรามาพบกัน แต่การจะอยู่ร่วมกันต้องใช้เวลามากกว่า
พลังแห่งความรัก ( The Power of Love)
ความสัมพันธ์แบบคู่รักอาจเป็นเรื่องของความเป็นความตาย การมีความสัมพันธ์แบบเกื้อกูล มีแนวโน้มป้องกันให้ความรักนั้นคงอยู่ ในขณะที่ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนั้นสร้างความเสียหายมากกว่าการไม่มีความสัมพันธ์เลย แต่ความรักเป็นสิ่งที่ตอบแทนซึ่งกันและกันเสมอ และจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทั้งคู่เต็มใจเปิดเผยและซื่อสัตย์ต่อกัน แสดงความขอบคุณ แบ่งปันความคิดและความรู้สึก และขอการสนับสนุนมากกว่าพยายามทำคนเดียว เรามักเชื่อว่าพวกเรากำลังรักษาชีวิตคู่ของตนโดยเก็บปัญหาไว้ใต้พรม แต่พอพบว่าคนที่เรารักที่สุด ไม่ไว้วางใจหรือขอความช่วยเหลือจากเรา มันทำให้เราเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
รักคืออะไร?
ความรักโรแมนติกอาจถูกมองว่าเป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นพลังที่เพิ่มโอกาสในการส่งต่อยีนไปยังคนรุ่นต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นพลังที่ช่วยให้คู่สัมพันธ์ สามารถอยู่ด้วยกันได้ในระยะยาว บางคนระบุว่ามันเป็นแรงอะไรสักอย่างที่ดึงดูดผู้คนเข้าหากัน แม้จะไม่อาศัยความรู้สึกโรแมนติกที่รุนแรงก็ตาม โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า “เพียงการเปิดเผย/สัมผัสซ้ำๆ” และบางคนที่อ้างถึงคำจำกัดความและบริบทความรักที่แตกต่างกันจากต่างช่วงเวลาและต่างวัฒนธรรม อธิบายว่ามันเป็นเพียงโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม
ความรักต้องการความหลงใหลหรือไม่? ( Love vs Passion)
บางคนนิยามความรักว่ามีองค์ประกอบสามประการ ได้แก่ ความใกล้ชิด ความมุ่งมั่น และความหลงใหล แต่หลายคู่กังวลว่าความหลงใหลของพวกเขาจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านไป ทำให้ความสัมพันธ์ปลอดภัยน้อยลง อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่า passion ที่ลดลงในตัวมันเอง เป็นปัญหาน้อยกว่าความเชื่อของคู่รักที่ว่าเมื่อลดลงแล้วจะไม่สามารถกู้คืนได้ คู่ที่เข้าใจว่าใดใดในโลกมีขึ้นมีลง มีแนวโน้มที่จะจุดไฟอีกครั้งและอยู่ด้วยกันได้
พลังของเซ็กส์ (The Power of Sex)
เซ็กส์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์หลายๆ อย่าง การวิจัยพบว่า แม้ว่าการมีเซ็กส์เป็นประจำจะช่วยประสานความผูกพันทางอารมณ์ของคู่รัก แต่สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่แสดงออกต่อความสัมพันธ์ เช่น การเปิดเผย ความโปร่งใส การสื่อสารในเชิงบวก สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์ก็มีความสำคัญเช่นกัน พบว่า หากมีความพึงพอใจหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจทำให้คู่นอนรู้สึกดีขึ้นต่อกันและกัน เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน คู่รักหลายคนกังวลว่าเหตุใดพวกเขามีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยเท่าที่เคยมีมา หรือว่าพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ หรือไม่
อะไรคือกุญแจสู่เซ็กส์ที่ดี?
กุญแจสู่ชีวิตเซ็กส์ที่ดีคือการสามารถอยู่ในช่วงเวลานั้น สื่อสารกันตรงๆ เกี่ยวกับความต้องการทางเพศของพวกเขา และมีความเห็นอกเห็นใจ เปิดใจที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน
เรามีเพศสัมพันธ์เพียงพอหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยนักหรือแทบไม่มี ไม่เป็นปัญหาสำหรับคู่รัก ตราบใดที่พวกเขาพบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าพึงพอใจและเชื่อว่าพวกเขากำลังมี มีเพศสัมพันธ์เพียงพอ
การมีเซ็กส์ทำให้คู่รักมีความสุขมากขึ้นจริงหรือ?
อาจจะไม่ ในการทดลอง เมื่อคู่สามีภรรยาถูกขอให้เพิ่มความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติเป็นสองเท่า ส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่สามารถทำได้ ก็มีไม่รายงานว่ามีความพึงพอใจทางเพศมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคู่รักส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเรื่องของเซ็กส์ คุณภาพมีความสำคัญมากกว่าปริมาณ
เซ็กซ์ที่ดีจะทำให้ชีวิตคู่รอดหรือไม่?
สามารถทำได้ แต่คู่รักควรเข้าใจบทบาทของเซ็กส์ในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ทางเพศที่มีคุณภาพสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นของความสัมพันธ์ เป็นรากฐานสำหรับความยั่งยืนในระยะยาว แม้ความพึงพอใจทางเพศจะเริ่มลดลงในหลายๆ ความสัมพันธ์ ความพึงพอใจโดยรวมก็ยังคงสูงอยู่ แต่เมื่อระดับความปรารถนาของคู่นอนเริ่มแตกต่างกันอย่างมาก ก็ต้องหันมาคำนึงและปรึกษาร่วมกัน
คู่รักจะค้นพบความหลงใหล (Passion) อีกครั้งได้อย่างไร?
สำหรับบางคู่ที่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เซ็กส์ครั้งแรกที่เร่าร้อนเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเซ็กส์ที่ดีต่อสุขภาพ แต่คู่รักหลายคนในความสัมพันธ์ระยะยาวพบว่าตัวเองถอยห่างจากเซ็กส์ที่เร่าร้อน อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการใช้ความพยายามหรือเพราะพวกเขาพูดไม่ออก ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า ให้พูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ปล่อยให้ตัวเองแสดงตัวตนดั้งเดิมออกมา และเรียนรู้ที่จะอดทนต่อกัน
คู่นอนจะคุยเรื่องเพศที่ “แหวกแนว” (unconventional sex) ได้อย่างไร?
จริงๆแล้วเรามันไม่ยากที่จะเรียนรู้ว่า เซ็กส์ที่ “แหวกแนว” ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติธรรมดา การสำรวจพบว่าคู่รักส่วนใหญ่มี การเล่นเซ็กส์แบบพิลึกพิลั่น หรืออย่างน้อยก็มีจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ คู่รักที่เข้าใจสิ่งนี้และกังวลน้อยลงเกี่ยวกับการละเมิดบรรทัดฐาน จะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความปรารถนาของพวกเขาและมีแนวโน้มที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่น่าพอใจ
ฉันจะทำอย่างไรหากคู่นอนไม่ตอบสนองความต้องการทางเพศของฉัน
คนๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์บ่อยขึ้นกับคู่นอนที่มีแรงขับทางเพศสูง แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจ หรือไม่? และหากอีกฝ่ายไม่เต็มใจ คู่นอนอีกฝ่ายก็สมควรที่จะแสวงหาเซ็กส์ที่อื่นหรือไม่? ก่อนที่ใครก็ตามจะเริ่มต้นความสัมพันธ์หรือเดินออกจากความสัมพันธ์ คู่iรัก/คู่นอน ควรหารือเกี่ยวกับความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และดูว่าการยุติความสัมพันธ์นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือมีความเข้าใจใหม่บางอย่างหรือไม่
คู่รักสามารถอยู่ด้วยกันได้แม้ว่าพวกเขาจะหยุดมีเพศสัมพันธ์หรือไม่?
ความสัมพันธ์ระยะยาวสามารถเติบโตได้โดยมีเซ็กส์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ตราบใดที่ทั้งคู่ตกลงกับมัน บ่อยครั้งที่คู่หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งมีแรงขับทางเพศที่ลดลงมากหรือมีความถี่ของเพศสัมพันธ์ลดลงมากในระยะยาว เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น มันจะสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อกันและกัน และนำไปสู่ภาวะที่ไม่มีความสุขซึ่งฝ่ายหนึ่งไล่ตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความเหลื่อมล้ำดังกล่าวควรได้รับการบำบัด
เรียบเรียงโดย
คุณนิฑากรณ์ ดำรักษ์ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา คลินิกเทคนิกการแพทย์แคร์แมท
ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านแพทย์แผนไทย
เชื่อว่าผู้ชายหลายคนกำลังมองหาตัวช่วยในการบำรุงสมรรถนะทางเพศของตัวเอง นอกจากให้ฟิตปั๋งแล้ว ยังมองหาสิ่งที่จะช่วยเสริมความพึงพอใจของตนเองและคู่นอน รวมถึงการสืบพันธุ์ นั่นคือน้ำอสุจิ จะกินอะไรให้น้ำอสุจิเยอะ ให้ปริมาณอสุจิเยอะ ให้มีความแข็งแรง วันนี้เราขอเสนอเป็น เมนู อาหาร คืออะไร มาดูกันเลยจ้า
Starter เรียกน้ำย่อยกันด้วยสลัดผลไม้ ในสลัดของคุณหากเพิ่มเมล็ดฟักทองลงไป จะเป็นประโยชน์มาก
เมล็ดฟักทองเป็นอาหารบำรุงระบบเจริญพันธุ์ที่ทานได้ทั้งสามีและภรรยา อุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งถ้าหากทานบ่อยๆ เป็นประจำจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นมากกว่าถึง 40% ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศบำรุงลูกอัณฑะ บำรุงน้ำเชื้อและอสุจิ รักษาอาการต่อมลูกหมากโต แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานเมล็ดฟักทองอบเกลือ เพื่อป้องกันโซเดียมเกินและอาการบวมน้ำ ดังนั้นฝากอยากมีลูกเร็วๆ อสุจิแข็งแรงไวๆ ควรทานเมล็ดฟักทองเป็นประจำ
จากนั้น Main course ที่แนะนำคือ สปาเก็ตตี้เนื้อสับ หรือไม่ก็ ออส่วนหรือหอยทอด ส่วนประกอบที่ช่วยบำรุงอสุจิ ได้แก่
2. กระเทียม
อาหารในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอาหารไทย มีกระเทียมเป็นส่วนผสมอยู่แล้ว ในสปาเก็ตตี้ที่เพิ่มกระเทียมเข้าไป ก็จะช่วยเพิ่มกลิ่นและรสให้กลมกล่อมขึ้น แถมยังบำรุงอสุจิได้ด้วย
แม้ใครหลายๆ คนมักจะเลี่ยงหลีกการทานกระเทียมเนื่องจากกังวลเรื่องกลิ่นที่ตกค้างในช่องปาก แต่หากมองข้ามเรื่องกลิ่นไปได้ จะรู้เลยว่ากระเทียมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิดที่เป็นอาหารบำรุงอสุจิ ช่วยให้อสุจิแข็งแรงแล้ว ช่วยบำรุงรักษาเชื้ออสุจิให้แข็งแรงขึน และยังช่วยปรับระบบไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศให้ดี สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่สำหรับใครที่กังวลเรื่องกลิ่นจริงๆ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการทานกระเทียมสดๆ แล้วเลือกซื้ออาหารเสริมที่เป็นกระเทียมแคบซูลหรือกระเทียมอัดเม็ดแทนได้
3. เนื้อวัว
การรับประทานเนื้อวัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและความแข็งแรงของอสุจิให้มากขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีผลการศึกษาจาก European Academy of Andrology ด้วยว่า ผู้ชายที่ทานเนื้อวัวทุกวัน มีน้ำเชื้อที่อสุจิเข้มข้นและมีการเคลื่อนไหวที่ดีด้วย
4. มะเขือเทศ
มะเขือเทศเต็มไปสารไลโคปีนที่ช่วยบำรุงน้ำเชื้อและตัวอสุจิให้แข็งแรงให้มีมากกว่าปกติถึง 70% อีกทั้งให้ช่วยบำรุงการทำงานของระบบเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย ช่วยปรับสมดุลต่อมลูกหมาก ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วย
5. ไข่
อาหารบำรุงอสุจิที่ราคาถูก อีกทั้งยังหาทานได้ทั่วไป เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน D แคลเซียม วิตามิน E กรดอะมิโน และธาตุเหล็กที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงคุณผู้ชายทานไข่ประจำทุกวันก็จะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ดี ช่วยการรักษาระดับฮอร์โมนของผู้ชาย และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง ปกป้องเซลล์อสุจิและปริมาณให้กับอสุจิไม่ให้เสื่อมง่ายได้อย่างดีเยี่ยม
6. หอยนางรม
อาหารสดที่หลายคนชอบทานอย่าง “หอยนางรม” นั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อยและเป็นอาหารกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศที่ดี เต็มไปด้วยโปรตีน โอเมก้า 3 วิตามิน E วิตามิน D วิตามิน วิตามินB12 ธาตุเหล็ก ทองแดง และเซเลเนียมสำหรับฝ่ายผู้หญิงที่ทานจะช่วยบำรุงระบบเจริญพันธุ์ รังไข่ และมดลูก และสำหรับฝ่ายผู้ชายจะช่วยเพิ่มการผลิตและบำรุงอสุจิให้แข็งแรง และยังช่วยให้ปฏิบัติภารกิจได้ยาวนานมากขึ้นด้วย
กินคาวไม่กินหวาน ก็กะไรอยู่ ของหวานที่เรานำเสนอคือถั่วต้มน้ำตาลนั่นเอง หากใครไม่ชอบถั่ว ก็ลองเมนู กล้วย/ กล้วยหอมกับช็อคโกแลตสักหน่อย
เครื่องดื่มจะขาดได้อย่างไร มิกซ์เบอร์รี่สมูทตี้ นี่ไง สดชื่น
7. ถั่ว
ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วปากอ้า ถั่วพู วอลนัท เป็นอาหารบำรุงอสุจิที่ใครที่อยากให้เชื้อแข็งแรง เคลื่อนไหวรวดเร็ว ต้องทานเยอะๆ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่ออสุจิ ทั้งโปรตีน โอเมก้า 3 ซิงค์และวิตามินอี ที่ช่วยในเรื่องการเพิ่มปริมาณอสุจิให้แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
8. กล้วย
สำหรับใครที่กำลังมองหาอาหารที่ช่วยบำรุงอสุจิและช่วยให้อิ่มท้องได้นาน กล้วยถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะมากเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน A, B1 และ C วิตามิน เกลือแร่ โพแทสเซียมสูง กรดอะมิโน ธาตุเหล็ก น้ำตาลซุกโคส ฟรุคโตสและกลูโคส ที่ร่ายการนำไปใช้ได้ทันที และยังช่วยปรับสมดุลระบบเจริญพันธุ์ช่วยในเรื่องการผลิตน้ำเชื้อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นและช่วยให้อสุจิแข็งแรงว่ายได้อย่างรวดเร็ว
9. ช็อคโกแลต
การทานช็อคโกแลตทุกวันเป็นของว่าง โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลตเป็นการบำรุงอสุจิโดยตรง เนื่องจากในช็อกโกแลตนั้นทำมาจากโกโก้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำเชื้อให้มีอสุจิมีปริมาณมากขึ้น ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยให้อสุจิว่ายได้อย่างว่องไว และยังมีช่วยให้แต่ละครั้งในการหลั่งน้ำเชื้ออกมาให้มีปริมาณมากๆ ช่วยเพิ่มโอกาสให้มีลูกได้ง่ายขึ้น ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้อย่างดีและยังช่วยให้เวลาประกอบกิจกรรมทางเพศจะช่วยให้รู้สึกดีเพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย
10. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
หากต้องการให้น้ำเชื้อเต็มไปด้วยอสุจิแข็งแรงเข้มข้นช่วยให้มีลูกง่ายๆ ควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีวิตามิน C สูง เพราะผลไม้เหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างกรดอะมิโนที่ช่วยระบบเจริญพันธุ์ให้สามารถผลิตและว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อย่างบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แบล็กเบอร์รี หรือโกจิเบอร์รี เป็นประจำ
ตัวเสริม !!
ถ้าไม่ดื่มน้ำเปล่า ร่างกายจะสร้างน้ำลาย น้ำมูก น้ำตา น้ำเลือด น้ำหล่อลื่น และน้ำอสุจิได้อย่างไร
เครื่องดื่มที่หาง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพียงคุณผู้ชายหรือให้สามีของคุณดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำทุกวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตรเพื่อให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ปากแห้ง ผิวแห้งกร้าน และยังช่วยเพิ่มปริมาณอสุจิในน้ำเชื้อให้มีมากขึ้นด้วย
แหล่งอ้างอิง
วันที่ 10-13 ม.ค. 2566 มูลนิธิแคร์แมท ได้รับการประเมินคุณภาพและติดตามผล ประจำปี 2022 ที่ผ่านมา โดย USAID Thailand ( United States Agency for International Development ) เพื่อความเป็นมาตรฐานและความเชื่อมั่นสำหรับผู้รับบริการ ในการยุติปัญหาเอดส์ในประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมงานกับองค์กรภาคีและหน่วยงานภาครัฐของจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน
สปสช.เยี่ยมชมการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขององค์กรภาคประชาสังคมในเชียงใหม่
เชียงใหม่, 13 ธันวาคม 2565 – นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู รองผู้อำนวยการ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่งซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานจากแผนงานฉุกเฉินของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเพื่อบรรเทาปัญหาเอดส์ (PEPFAR) ผ่านองค์การเพื่อความร่วมมือแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) ภายใต้โครงการ EpiC ประเทศไทย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในเวลา 9.00 เดินทางไปเยี่ยมชมการให้บริการสุขภาพที่นำโดยกลุ่มประชากรหลัก หรือ Key Population Led Health Services (KPLHS) ของมูลนิธิแคร์แมท คุณศตายุ สิทธิกาน ผู้อำนวยการมูลนิธิแคร์แมท ให้ข้อมูลว่า มูลนิธิแคร์แมทเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงบริการและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยได้มีการเยี่ยมชมคลินิกเพื่อศึกษาโครงการจัดบริการเพื่อยุติปัญหาเอดส์ตามชุดบริการ Reach-Recruit-Test-Treat-Retain (RRTTR) รวมไปถึงศึกษาการเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านการบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องโครงการรักเพื่อน ชวนเพื่อน รักสุขภาพ Care for friend Safe life Safe sex ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการทำงานด้านสุขภาพจิตในวัยเรียน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการดังกล่าวของกลุ่มวัยเรียนในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน พร้อมกันนี้ยังได้เยี่ยมชมการสาธิตการจัดบริการในกลุ่มเสี่ยงที่เข้ามารับบริการที่คลินิกเทคนิคการแพทย์แคร์แมทอีกด้วย
ต่อมาเวลา 09.45 เดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานของมูลนิธิเอ็มพลัส พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของมูลนิธิ โดย คุณพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัส ทั้งนี้มูลนิธิเอ็มพลัสเป็นองค์กรชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านจัดบริการด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงงานด้านสุขภาพทางเพศ และสิทธิทางเพศในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในระดับประเทศ นอกจากนี้มูลนิธิเอ็มพลัสยังเป็นหนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมที่นำร่องจัดบริการเพร็พร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและผู้หญิงข้ามเพศ ปัจจุบันมูลนิธิเอ็มพลัสได้มีการทำงานครอบคลุมไปถึงกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ใช้สารเสพติด โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มประชากรหลักเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพด้านเอชไอวี เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการยุติเอดส์ภายในปี 2573 ตามยุทธศาสตร์ของประเทศ
ในช่วงท้าย มูลนิธิเอ็มพลัสและมูลนิธิแคร์แมทได้มีการหารือถึงความก้าวหน้าของการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสปสช. ความท้าทาย โอกาสและความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาระบบบริการด้านเอชไอวีและระบบสุขภาพของกลุ่มประชากรหลัก อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนไทยภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเป็นระบบสุขภาพที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมจากนานาชาติ