08 ต.ค. 2017
ปัจจุบันได้มีการพัฒนารักษาไวรัส รวมทั้งมีการใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อ HIV ควรจะปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อวางแผนการรักษา ซึ่งเชื้อ HIV จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันโดยเริ่มทำลายเซลล์ CD4 เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะเกิดการติดเชื้อ และการรักษาโดยการให้ยาต้านไวรัสนั้นก็เป็นเพียงการหยุดหรือทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวลดลงจนไม่อาจลุกลามกลายเป็นโรคเอดส์
ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยเพื่อวางแผนในการรักษา
เลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่รักษา
ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จคือแพทย์ผู้รักษาและโรงพยาบาล ทีมงานทางการแพทย์ตะต้องมีคุณภาพ และต้องเข้าใจปัญหาที่ผู้ป่วยกำลังประสบอยู่ทุกวัน อีกทั้งยังต้องวางแผนการรักษา ให้ความรู้เรื่องการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ และป้องกันผู้อื่นไม่ให้ได้รับเชื้อจากตัวผู้ป่วย
ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาเรื่องยาเสพติด ปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถปรึกษากับทีมงานที่รักษาได้ ที่สำคัญคือต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน
เข้าใจหลักการรักษา
เชื้อ HIV จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ซึ่งเชื้อนั้นจะถูกสร้างโดย CD4 Cell เมื่อเชื้อมีปริมาณมากเซลล์ CD4 Cell ก็จะต่ำ จึงควรเริ่มการรักษาก่อนที่ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย
และนอกจากดูจำนวน CD4 Cell แล้วก็ยังต้องดู viral load หรือปริมาณเชื้อที่อยูในกระแสเลือดด้วย หากพบ viral load มาก เชื้อในร่างกายก็จะมาก อวัยวะก็จะถูกทำลายมากและเร็ว ที่สำคัญคืออาจเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาคือจะต้องทำให้ปริมาณเชื้อ (viral load) ในร่างกายมีน้อยที่สุด
การรักษาจะใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา โปรดจำไว้ว่าหากเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาอย่าหยุดยาชนิดใดชนิดหนึ่งโดยลำพัง ให้ปรึกษาแพทย์เสมอ เพราะอาจจะทำให้เชื้อดื้อยา
การเลือกใช้ยารักษา
การจะเลือกใช้ยารักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
เมื่อไรถึงจะเริ่มรักษา
ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเหมือนกันว่าจะเริ่มรักษาโรคต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์ นั่นคือเซลล์ CD4 ลดลง และมีปริมาณเชื้อมาก (viral load) การรักษาผู้ป่วยจะแยกเป็นกรณีที่แตกต่างกันไป ดังเช่น
กรณีการรักษาผู้ป่วยหลังสัมผัสโรคติดเชื้อ HIV ( Post-Exposure Prophylaxis ) ควรทำภายใน 72 ชั่วโมง เช่น การที่เจ้าหน้าที่ถูกเข็มตำขณะทำงานโดยที่เข็มนั้นเปื้อนเลือดผู้ป่วย HIV… หลังสัมผัสเชื้อทันทีจะไม่สามารถใช้วิธีการเจาะเลือดหา viral load หรือ antigen หรือ antibody ได้ เพราะจะยังหาไม่พบ
การให้ยาแก่คนที่สัมผัสโรคจะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ในกรณีของผู้ที่ร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ ยังไม่มีรายงานว่าจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากแค่ไหน ดังนั้นผู้ที่สัมผัสโรคต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการใช้ยา หากต้องใช้จะเป็นเวลานานแค่ไหน และผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง
กรณี Primary Infection หมายถึง ภาวะตั้งแต่เริ่มได้รับเชื้อจนกระทั่งภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นจนสามารถตรวจพบได้ ช่วงระยะนี้มีเวลาประมาณ 12-20 สัปดาห์ หากพบผู้ป่วยในระยะนี้ต้องรีบให้การรักษาโดยเร็ว แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้รับประทานตลอดชีวิต แต่บางท่านแนะนำให้รับประทานยา 24 เดือนแล้วลองหยุดยา
กรณี ผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic Patients with Established Infection ) การรักษาผู้ที่ติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เป็นต้น
การรักษา
ก่อนการรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อในหลายแง่มุม รวมทั้งการระยะและอาการของโรค การดื้อยา ผลข้างเคียงของยา ราคายา การติดเชื้อฉวยโอกาส และเมื่อตัดสินใจรักษาแล้ว แพทย์จะจ่ายยาที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อป้องกันการดื้อยา ผู้ป่วยต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษา เพราะการขาดยาแม้เพียงมื้อใดมื้อหนึ่ง ก็จะทำให้ระดับยาในเลือดลดลง ซึ่งทำให้เชื้อดื้อยาได้ ผู้ป่วยต้องปรึกษากับแพทย์ถึงราคายาเนื่องจากขณะนี้ราคายังแพงอยู่
เป้าหมายในการรักษา
เชื้อ HIV เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV จะทำให้เชื้อหยุดหรือชะลอการดำเนินของโรคเอดส์ โดยมีเป้าหมายในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ดังนี้
ข้อสำคัญคือผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในระยะยาวโดยที่ไม่เกิดอาการ ทั้งที่ยังไม่ได้รักษา ดังนั้นผู้ป่วยบางรายยังไม่จำเป็นต้องรีบรักษาก็ได้ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์
การติดตามการรักษา
หลังการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นแพทย์อาจจะนัดตรวจทุก 3-6 เดือน เพื่อประเมินสิ่งต่อไปนี้
แหล่งข้อมูล: www.siamhealth.net
08 ต.ค. 2017
ส่วนใหญ่แล้ว การติดเชื้อเอชไอวีเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันและการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งอาจไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายได้ 100% แต่คุณสามารถป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ด้วยเคล็ดลับและเทคนิคต่างๆ ดังต่อไปนี้
หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือถุงยางอนามัยชาย ซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ง่ายและหาซื้อได้ในราคาถูก ข้อดีคือถุงยางอนามัยมีรูปทรง ขนาด พื้นผิว และกลิ่นหลากหลายรูปแบบให้เลือก หากคุณหรือคู่ไม่ชอบถุงยางอนามัยประเภทใดก็สามารถเปลี่ยนไปลองใช้ประเภทอื่นได้
คำเตือน: ควรใช้ก่อนวันหมดอายุ หากเลยกำหนดวันหมดอายุให้ทิ้ง, อย่าเก็บถุงยางอนามัยให้โดนแสงแดด หรือในสถานที่ร้อนจัด / เย็นจัด

วิธีการใส่ถุงยางอนามัย:
วิธีการถอดถุงยางอนามัย:
ถุงยางอนามัยหญิง ที่เรียกว่า ถุงยางอนามัยแบบสอด (Insertive Condom) ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ในช่องคลอด ทำจากโพลียูรีเทนที่ทำหน้าที่เหมือนซับหลวมๆ ภายในช่องคลอด แต่หากตัดสินใจใช้ถุงยางอนามัยผู้หญิงในการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็ควรตรวจสอบให้บ่อยครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะไม่ลื่นหลุดเข้าไปในลำไส้ตรง
*ถุงยางอนามัยชายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
เคล็ดลับ: ไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยชายและหญิงในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการลื่นหลุดหรือฉีกขาด

วิธีการใส่ถุงยางอนามัยแบบสอด:
วิธีการถอดถุงยางอนามัยแบบสอด:
หลังจากหลั่งเรียบร้อย ให้บีบ และบิดวงแหวนภายนอกของถุงยางอนามัย จากนั้นจึงนำออกจากช่องคลอดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน โดยระมัดระวังไม่ให้มีการรั่วไหลของของเหลว (น้ำอสุจิ) ภายใน
ยาเพร็พ หรือ ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัส Pre- Exposure Prophylaxis (PrEP)
เป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อแบบใหม่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง ยาเพร็พช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงที่มีภาวะเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อเอชไอวีผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้เข็มฉีดยา
ยาเป๊ป หรือ ยาต้านไวรัสหลังการสัมผัส Post-Exposure Prophylaxis (PEP)
เป็นยาต้านเชื้อที่ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่ตัวเชื้อจะกระจายตัวในร่างกาย ตัวยาประกอบด้วยยาต้านไวรัส 2-3 ชนิด ควรรับประทานอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้หลังจากที่คุณได้รับเชื้อเอชไอวี (เพื่อให้มีประสิทธิภาพควรเริ่มทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ) และควรจะรับประทานให้ครบ 28 วัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อมีการฉีดยาก็ควรใช้เข็มใหม่และแท่นเจาะที่สะอาดทุกครั้ง หลังจากที่คุณใช้เข็มฉีดยาแล้ว ควรจัดเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ขวดน้ำพลาสติก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวคุณหรือผู้อื่นได้สัมผัสและรับบาดเจ็บ
แหล่งข้อมูล: www.hivcl.org, www.plannedparenthood.org, www.cdc.gov
08 ต.ค. 2017
HIV แพร่กระจายโดยการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัย (condom) เป็นสิ่งจำเป็นมากในการช่วยป้องกันโรคเอดส์ และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นการไม่ใช้ถุงยางอนามัย จึงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อสูง
กิจกรรมดังต่อไปนี้ไม่ทำให้ติด HIV
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า กิจวัตรประจำวันดังกล่าวไม่ทำให้คุณติดเชื้อ HIV ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวการอยู่ร่วมกลุ่มกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ และไม่จำเป็นต้องกีดกันพวกเขาออกจากสังคม

แหล่งข้อมูล: http://www.migesplus.ch
08 ต.ค. 2017
08 ต.ค. 2017
เมื่อเร็วๆ นี้ สภากาชาดไทย แถลงข่าวโครงการลดการติดเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และสาวประเภทสอง พร้อมให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการติดต่อรับยาต้านไวรัสเอดส์ก่อนการสัมผัสเชื้อ หรือเพร็ป (PrEP) ซึ่งส่วนกลางรับได้ที่ศูนย์สุขภาพชุมชนของสมาคมฟ้าสีรุ่งที่กรุงเทพฯ หรือ สอบถามเพิ่มเติม โทร.0 2253 0996 ในเวลาราชการ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายการใช้ยาตัวดังกล่าวคงพอทราบแล้วว่ายาต้านไวรัสตัวนี้คืออะไร ใช้เมื่อใด แต่กับบุคคลทั่วไปเชื่อว่าอาจยังสับสน วันนี้ mars จึงทำข้อมูลพอสังเขปให้เข้าใจง่ายขึ้น
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า โดยทั่วไปเราจะคุ้นชินกับการเห็นคนรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดแผง 28 เม็ด ทุกวัน ต่อมามีการพัฒนาเป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คือ รับประทานหลังมีกิจกรรมร่วมกัน 1 เม็ดทันที และอีก 1 เม็ด ภายใน 12 ชั่วโมง ซึ่งเหตุผลการใช้ต่างกัน และคนละเรื่องกับ ‘PrEP’ หรือ ‘PEP’ อย่างสิ้นเชิง
PrEP (PreExposure Prophylaxis) หรือ PEP (Post -Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัส HIV ในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มรักร่วมเพศ แพทย์ พยาบาล ที่อาจจำเป็นต้องรับประทานยาชนิดนี้ประจำวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือกรณีสัมผัสกับผู้ติดเชื้อไปแล้วภายใน 72 ชั่วโมง ก็ยังสามารถรับประทานเพื่อป้องกันได้
แม้ยาชนิดนี้มีชื่อเรียก 2 แบบ ตามลักษณะของเวลาในการรับประทาน แต่เนื้อยาคือตัวเดียวกัน โดยผลข้างเคียงของมันอาจเกิดขึ้นได้คือ อาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียน เป็นต้น
ขอบคุณข่าวสารจาก http://www.manager.co.th