ปี 2022 นี้ใช้สโลแกน หรือคำขวัญว่า ทำให้เท่าเทียม ถึงจุดที่เราควรต้องคิดแล้วว่า โลกยุคนี้พวกเราแสวงหาความเท่าเทียมและเสมอภาค ในด้านสิทธิการเข้าถึงการตรวจเลือด การป้องกันเอชไอวี และรับการรักษา อย่างเท่าเทียมถ้วนหน้า
วันเอดส์โลกมีที่มาอย่างไร?
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ ซึ่งได้คร่าชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ไปกว่า 25 ล้านคนแล้วทั่วโลก
วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
HIV ย่อมาจาก human Immunodeficiency Virus เชื้อไวรัสนี้เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกายเวลาที่เราเจ็บป่วย
AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome (โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคเอดส์จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีบั่นทอนให้อ่อนแอลง จนถึงขั้นที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้อีก จนเริ่มติดเชื้อ หรือเกิดเป็นโรคต่างๆ
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลัง พบว่าโรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในปี พ.ศ. 2526 Luc Montagnier ชาวฝรั่งเศส สามารถแยกเชื้อจากต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Lymphadenopathy Assoiciated Virus หรือ LAV และในเวลาใกล้เคียงกัน Robert Gallo นายแพทย์ชาวอเมริกันก็สามารถแยกเชื้อจากเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Human T cell Lymphotropic Virus Type III หรือ HTL V III ต่อมา Levy นายแพทย์ชาวอเมริกัน สามารถแยกเชื้อชนิดเดียวกันนี้และตั้งชื่อว่า AIDS related virus จากการศึกษาในเวลาต่อมา พบว่าเชื้อทั้ง 3 ตัวนี้น่าจะเป็นเชื้อตัวเดียวกันจึงตกลงตั้งชื่อให้เป็นสากลว่า Human Immounodeficiency Virus หรือ HIV
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้น เป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ. 2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2527 ประเทศไทยเริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นตามรายงานครั้งแรก และในช่วง ปี พ.ศ. 2527จนถึงปี พ.ศ. 2533 จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ
ในทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ทั่วโลกจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง โดยในปีนี้ได้มีคำขวัญวันเอดส์โลกว่า “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา : ร่วมยุติปัญหาเอดส์ และเพศสัมพันธ์”
เหลียวหลัง วันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลก เอดส์ เอชไอวี
กิจกรรมวันเอดส์โลก
สถานการณ์ของโรคเอดส์กลับแพร่กระจาย มากขึ้นและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกัน แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้แพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มอื่นๆ ด้วย การจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นการรณรงค์และให้ความรู้ และการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคเอดส์ตามมา
จัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์
การจัดนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์รวมถึงการจัดบอร์ด การรณรงค์โรคเอดส์ การสัมมนา ในเรื่อวิชาการความรู้ เกี่ยวกับ โทษของโรคเอดส์ และสาเหตุ รวมถึงการป้องกันให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์
จัดกีฬา ต้อต้านโรคเอดส์
การจัดกีฬาต้อต้านโรคเอดส์ เพื่อให้ทุกคน หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และห่างไกลโรคร้าย และห่างไกลสิ่งที่จะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ได้
กิจกรรมรณรงค์โรคเอดส์
กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อHIV เกมส์ และถามตอบปัญหาอื่นๆมากมาย กรมอนามัย แจกถุงยางฟรี พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ เผยแพร่ข่าวสาร การให้ความรู้ การป้องกันเกี่ยวกับโรคเอดส์
เผยแพร่ข้อมูลในวันเอดส์โรค
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องปลอดภัย และทำการเสริมสร้างและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากขึ้นในสังคมทุกระดับ โดยจัดให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ เพื่อให้นักเรียนและประชาชนทั่วไปสามารถปฏิบัติตนในการดูแลตนเองและทราบถึงวิธีการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์
วัยรุ่นและเยาวชนไทยในวัยเรียนสมัยนี้ ขาดการรักนวลสงวนตัว กล้าได้ กล้าเสีย มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง ดังนั้น ผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียน สังคม มีหน้าที่ดูแล สอดส่องพฤติกรรมของนักเรียน และส่งเสริมให้นักเรียนได้รับความรู้ การปฏิบัติตนในการดูแลตนเอง และหาทางป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
ข้อระวังในการติดื้อ เอชไอวี และการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเอดส์
โรคเอดส์นั้นไม่สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ โดยการติดเชื้อนั้นจะต้องติดกันเฉพาะที่ กลุ่มคนที่รับเชื้อเอชไอวีมานั้น ถูกรังเกลียดจากสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากกลัวการติดเชื้อ การได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยการรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้
การรับเชื้อ
การรับเชื้อนั้นจะต้องมีปริมาณมากพอ ที่จะทำให้ติดโรคเอดส์ได้ ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัสส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือ การมีเพศสัมพันธ์กัน โดยกรณีฝ่ายชายติดเชื้อจะส่งผ่านให้ฝ่ายหญิงทางเยื่อบุช่องคลอดหรือ กรณีฝ่ายหญิงติดเชื้อจะส่งผ่านทางปลายเปิดของอวัยวะเพศชายการใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ได้ การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ง่ายและได้ผล
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
กลุ่มคนผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์ การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติด โรคเอดส์ ผู้ติดยาเสพติด โดยใช้กระบอก เข็ม หรือสิ่งเสพติดร่วมกัน และผู้ที่รับเลือดโดยตรงอย่าง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ หรือการรับเลือดในขณะการผ่าตัด
จากแม่สู่ลูก
ทารกมีโอกาสติดเชื้อเอดส์จากแม่โดยติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูก เพราะแม่มีเชื้อเอดส์ และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ควรตรวจเลือดก่อนแต่งงาน
แนวทางการป้องกัน โรคเอดส์
หากรู้จักป้อกัน ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการมีคู่ครองเพียงคนเดียว และไม่ใช้บริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยง จะช่วยป้องกันโรคเอดส์ได้เป็นอย่างดี หรือหากพลาดไปแล้ว ควรหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ รวมถึงการงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิดร่วมกัน
โรคเอดส์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีแล้วก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตอยู่ได้นาน เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของเชื้อเอชไอวีต้องใช้ยาหลายๆ ตัว และนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ดีที่สุด คือการทำจิตใจให้สบาย ออกกำลังกายอย่างถูกต้องและการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ทำงานหนักจนเกินไปและ พักผ่อนให้เพียงพอ
แนวทางการส่งเสริมกิจกรรมวันเอดส์โลก
การจัดตั้งกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ทุกวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2531 ซึ่งเป็นวันเอดส์โลก ซึ่งถือเป็นวันจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์พร้อมเพรียงกันทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และมีมาตรการในการป้องกันตนเองที่ถูกต้องและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตราย
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากโรคติดต่อของโรคเอดส์ จึงต้องมีการส่งเสริมและสนับสนุน ให้มีมาตรการการป้องกันโรคเอดส์ให้มากขึ้นในสังคม ทุกชนชั้น
จัดกิจกรรมการต่อต้านโรคเอดส์
เพราะแนวโน้มการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำและระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ต่ำ การจัดกิจกรรมต่อต้าน และป้องกันการติดเชื้อเอดส์ จึงควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมแนวทางการป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี
เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์
การเพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้เยาวชนและประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกัน และมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง การป้องกันเรื่องการท้องก่อนวัยเรียน และการป้องกันเรื่องการมีเพศสัม พันธ์อย่างถูกวิธี
ห่วงใยผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ให้เหมือนถูกทอดทิ้ง
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและ ห่วงใยต่อผู้ป่วยโรคเอดส์และ ผู้ติดเชื้อเอดส์ ด้วยการจัดกิจกรรมการเยี่ยมผู้ป่วย ที่เป็นโรคเอดส์ การบริจาคของ และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์อย่างไม่รังเกียจ เพื่อสร้างเป็นขวัญและกำลังใจ ให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ได้มีแรงใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป
เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ ควรมีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง
แหล่งอ้างอิง
https://www.state.gov/pepfar-world-aids-day-2022/
https://th.wikipedia.org/wiki/วันเอดส์โลก#:~:text=วันเอดส์โลก%20(World%20AIDS,ล้านคนแล้วทั่วโลก
https://www.myhora.com/ปฏิทิน/วันเอดส์โลก.aspx
ข้อมูลจากการสำรวจโดย NHES ชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติการตีตรามีแนวโน้มลดลง โดยรวมแล้วผู้คนมีความเข้าใจที่จะอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV มากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า คนก็ยังกลัวการตรวจเลือด เพราะกังวลว่าคนรอบข้างจะรู้ ถ้าตนเองติดเชื้อ ถึงเกือบ 80% ซึ่งนี่เป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุด ที่ทางผู้ให้บริการ หรือองค์กรที่รับผิดชอบการยุติปัญหาเอดส์ จะทำอย่างไร ให้ผู้คนตระหนัก และคลายกังวลในการเข้าถึงบริการเพื่อให้รู้สถานะผลเลือดของตัวเอง
การตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรโรงพยาบาล 48 แห่งในประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงใน 3 ปีที่ได้สำรวจมา พบว่าบุคลากรโรงพยาบาลยังมีทัศนคติ ตีตราและเลือกปฏิบัติผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV สูงมาก จาก 83% ในปี 2018 และลงลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือ 68% ในปี 2020 แต่ยังอยู่ในระดับที่สุง ซึ่งก็เป็นความท้าทายอีกประการที่จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้รับบริการไว้วางใจและเข้าสู่กระบวนการป้องกันรักษาเอชไอวี/เอดส์ ได้มากขึ้น
ส่วนผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV นั้น พบว่าถูกตีตราและเลือกปฏิบัติจากบุคลากรในโรงพยาบาล ในระดับที่น้อยลง โดยเฉพาะประเด็นการถูกเปิดเผยสถานภาพ ดังนั้นจึงเริ่มมั่นใจได้มากขึ้นว่า ทางโรงพยาบาลมีมาตรการ การเก็บรักษาความลับของผู้รับบริการ ในขณะที่การตัดสินใจไม่ไปรับบริการ ซึ่งเป็นปมการตีตราตนเองของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เอง ก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า
ทางมูลนิธิแคร์แมท หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำรวจนี้จะทำให้ผู้อ่าน ได้มีความมั่นใจ คลายกังวล และมีความกล้าที่จะตรวจเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ยุติเอดส์ของชาติ มาช่วยยุติปัญหาร่วมกัน ในขณะเดียวกัน บุคลากรในโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ต่อการมอง การปฏิบัติตัวต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ทั้งนี้การรู้สถานะผลเลือด การเข้าสู่กระบวนการรักษา การคงสถานะผลเลือดลบ และการมีค่าไวรัสในเลือดในระดับที่ตรวจไม่พบสำหรับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เป็นหัวใจสำคัญต่อการยุติปัญหาเอดส์ คุณ และเรา ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ มาร่วมมือกันเถอะ!
อ้างอิงจาก
นิอร อริโยทัย เครือข่ายลดการตีตราและเลือกปฏิบัติจากเอชไอวี, กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เอกสารประกอบการประชุมการขับเคลื่อนยุติปัญหาเอดส์จังเหวัดเชียงใหม่, 20-21 ต.ค.2565
ถ้าคุณเห็นคนที่ผอมลง มากๆ สภาพน่าสงสัย คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร?
ผอมลง? หรือน้ำหนักลด/น้ำหนักตัวลด (Weight loss) ในทางการแพทย์หมายถึง การลดลงของเนื้อเยื่อในร่างกายส่วนใหญ่คือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันเช่น ไขมัน กล้ามเนื้อ และความหนาแน่นกระดูก ทั้งนี้อาจเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ (Unintentional weight loss) กล่าวคือ เกิดจากโรค หรือเกิดจากการตั้งใจ (Intentional weight loss) ซึ่งคือ การลดน้ำหนัก การอดอาหาร หรือกินยาเพื่อการลดน้ำหนัก
โรคที่เป็นสาเหตุให้ผอมลงหรือน้ำหนักลด มีได้หลากหลายโรค ทั้งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อและโรคหรือภาวะที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โดยสาเหตุที่ทำให้ผอมลงมักเกิดจากอาการของโรคนั้นๆ โดยอาการสำคัญที่ทำให้ผอมลงคือ การเบื่ออาหาร อาการคลื่นไส้ อาการท้อง เสียเรื้อรัง และบางครั้งแพทย์หาอาการที่เป็นต้นเหตุไม่ได้
โรคเอดส์ (หมายเหตุ โรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งหากไม่รักษาด้วยยาต้านไวรัส ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันบกพร่องจนกระทั่งพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์)
นับตั้งแต่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อ HIV คนแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นต้นมาจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว วันนี้จึงขอนำเสนอการดูแลตนเองให้มีสุขภาพ ที่ดี สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งเมื่อมีการติดเชื้อ HIV เกิดขึ้น ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
– เชื้อ HIV จะทำให้โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบต่อการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลในปาก ระดับกรดในกระเพาะอาหารลดลง และท้องร่วงเป็นต้น
– เชื้อ HIV มีผลต่อการเผาผลาญสารอาหาร โดยมีการนำเอกสารอาหารโปรตีนมาใช้เป็นพลังงานก่อนไขมัน มีผลทำให้ผู้ติดเชื้อมีน้ำหนักลดลง ร่างกายซูบผอม
– ผู้ติดเชื้อจะมีการนำเอาพลังงานมาใช้มากขึ้น แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะนอนพักอยู่เฉย ๆ ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนเพลียและเซื่องซึม
สำหรับการดูแลตนเองให้มีสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ควรเริ่มต้นจากการติดเชื้อในระยะแรก ๆ รีบรับยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งหมายถึงระยะที่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีการ แต่ถ้าเจาะเลือดจะพบว่ามีเลือดบวกไปตลอดชีวิต ซึ่งการดำเนินของโรคจะช้าหรือเร็วขึ้น เนื่องมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น อายุเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคแทรกซ้อน และอาหารจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถดูแล โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อนำไปเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคและเป็นผลให้ผู้ติดเชื้อมีอายุ ยืนยาวขึ้น
2. โรคหรือภาวะที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจวาย โรคขาดอาหาร โรคท้องเสียเรื้อรัง โรคแผลร้อนใน โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง โรคมะเร็ง ปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจเช่น ความเครียดและอาการซึมเศร้า และผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารและ/หรือคลื่นไส้เช่น ยาต้านไวรัสในโรคเอดส์ หรือยาไทรอยด์ฮอร์โมนที่ใช้รักษาโรคของต่อมไทรอยด์
การผอมลงอาจเกิดเพียงอาการเดียวหรือเกิดร่วมกับอาการอื่นๆก็ได้เช่น มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือท้องเสียเรื้อรัง
ถ้าผอมลงโดยที่ไม่รู้สาเหตุคือ น้ำหนักลดลงมากกว่าปกติ 5% ในระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ได้เกิดจากมีโรคและไม่ได้ตั้งใจอดอาหาร ทางการแพทย์จัดว่าเป็นอาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุ
แหล่งอ้างอิง
2. Weight loss http://en.wikipedia.org/wiki/Weight_loss [2015,Oct3]
3. Weight loss –unintentional http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003107.html [2015,Oct3]
4. https://www.ryt9.com/s/prg/144809
ขอเชิญผู้สนใจช่วยตอบแบบสำรวจเพศสภาวะ และความลื่นไหลทางเพศ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบริการในแง่ความลื่นไหลทางเพศต่อไปครับ
https://forms.gle/G3WfPyPZZAtvzjqv7
1. ประเทศไหนที่ใช้ถุงยางอนามัยกันเป็นเรื่องปกติมากที่สุด ?
ประเทศญี่ปุ่น มีอัตราการใช้ถุงยางมากที่สุดในโลก ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วให้คู่ใช้ถุงยางเพื่อคุมกำเนิดสูงถึง 80% ในขณะที่การใช้ถุงยางคุมกำเนิดในคู่สามีภรรยาในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆมีค่าเฉลี่ยที่ 28%
Wikipedia, https://en.wikipedia.org › wiki › Condom
2. ประเทศไหนที่มียอดขายถุงยางอนามัยสูงที่สุดในโลก?
ประเทศจีน ซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน และ 900 ล้านคนที่อยู่ในช่วงวัยมีเพศสัมพันธ์ ข้อมูลปี 2018 แสดงถึงยอดการใช้ถุงยางสูงถึง 13,000 พันล้านชิ้น นอกจากนี้จีนยังเป็นผู้ส่งออกถุงยางอนามัยรายใหญ่รายหนึ่งของโลกอีกด้วย
ธ.ค.2564, https://newspatrolling.com › which-countries-have-highest-condom-use/
3. ประเทศที่มีประชากรมากอย่าง อินเดีย ใช้ถุงยางมากแค่ไหน?
อัตราการใช้ถุงยางในอินเดียต่ำมาก แค่ 5.6% ของประชากร และผู้ชายไม่ถึง 1 ใน 10 ใช้ถุงยางในขณะที่ผู้หญิงอินเดียมากกว่า 40% นิยมใช้วิธีทำหมัน ( National Family Health Survey-5 (2019-2021)) เพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ ซึ่งการทำหมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปจนถึงถิ่นชนบทห่างไกลอีกด้วย
รายงานปี 2018 จากกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียแจ้งว่า 95% ของคู่สมรสซึ่งอายุ 15-49 ปี ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
https://www.livemint.com/industry/retail/lockdown-dents-condom-sales-in-india-11622123601449.html
4. ถ้าจะซื้อถุงยางที่ เกาหลีใต้ ?
เกาหลีใต้ระบุว่า การขายถุงยางลักษณะพิเศษ ให้แก่เยาวชน เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ได้แก่ถุงยางที่มีปุ่มมีเม็ด เป็นสันหรือรูปแบบแปลกๆ
มี.ค.2560, https://koreaexpose.com/condoms-teens-south-korea/
5. ขนาดของถุงยางที่ใช้ทั่วโลก เป็นอย่างไร?
ขึ้นอยู่กับขนาดของอวัยวะเพศตามภาพที่สำรวจกันมาเลยจ้า
6. อะไรทำให้ถุงยางอนามัยหมดประสิทธิภาพ?
ส่วนใหญ่การที่ใช้ถุงยางไม่ได้ผล นอกเหนือจากที่ไม่สามารถใช้ได้ทุกครั้งแล้ว คือการที่ถุงยางฉีกขาดหรือไม่ก็ลื่นหลุดออกจากอวัยวะเพศชาย ซึ่งถุงยางหลุดเกิดขึ้นบ่อยกว่าถุงยางแตก โดยเฉพาะเมื่อใช้ถุงยางไซส์ใหญ่เกินตัว เมื่อเกิดความเสี่ยงเช่นนี้แล้ว ให้รีบกินยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หรือกินยาต้านเอชไอวีฉุกเฉิน (ยาPEP)
7. ถุงยางที่หมดอายุ จะยังใช้ได้ไหม?
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางที่หมดอายุแล้ว เพราะมันฉีกหรือแตกง่ายกว่าเดิม ซึ่งมีโอกาสรับเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น
8. การใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น ช่วยป้องกันโรคได้ดีกว่าเดิม?
ไม่เลย คุณไม่ควรทำแบบนั้น มันจะยิ่งป้องกันโรคได้น้อยลง เพราะเวลาถุงยางประกบกันจะเกิดแรงเสียดทานมาก เมื่อเสียดสีกันจะทำให้แผ่นยางฉีดขาดหรือแตกได้
9. ถุงยางทำให้เสร็จ (หลั่ง) เร็วขึ้นไหม?
การศึกษาในปี 2016 พบว่าถุงยางที่เป็นแบบหนาอาจช่วยให้ผู้ชายหลั่งช้าลง ซึ่งข้อเสียหนึ่งคือมันไปลดความรู้สึก
เสียวเวลาร่วมเพศสำหรับบางคน
ก.พ.2565 ,Best condoms for premature ejaculation and lasting longer, https://www.medicalnewstoday.com › articles
10. ถ้าไม่ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับการร่วมเพศแล้ว มันจะใช้ทำอะไรได้อีก?
– ใช้แทนถุงมือเพื่อโกยสิ่งปฏิกูลในชักโครก
– คลุมนาฬิกาข้อมือ และโทรศัพท์มือถือ กันรอยขีดข่วนและกันน้ำ (เมื่อเล่นน้ำสงกรานต์)
– เป็นหนังสติ๊ก ใช้ยิง ใช้มัด
– ช่วยเปิดฝาขวดที่มันแน่นๆ
– ใส่น้ำ เหล้า เครื่องดื่ม เพื่อพกพา
– ใช้แทนถุงเท้า กรณีฉุกเฉิน หรือคลุมไว้กันน้ำเมื่อเดินลุยน้ำท่วม
– ทำ cold pack ไว้ประคบเย็น
– เก็บไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สาธิตการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
แล้วเพื่อนๆคิดว่า จะใช้ทำอะไรได้อีก …?
แม่สุดสรอง ผู้ที่ก้าวข้ามคำว่า HIV
ในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นเดือนของ คุณแม่ แคร์แมทอยากเสนอแง่มุมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแม่ๆทั้งหลาย ซึ่งเป็นประเด็นทางสุขภาพและสังคม ลิ้งค์นี้อาจจะไม่อัพเดท แต่เราเชื่อว่าคุณผู้ชมจะได้รับแนวคิด ทัศนคติ มุมมองใหม่ และความรู้ใหม่ ที่จะมองเห็นและเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้น อยู่ร่วมกับพวกเขาเหมือนกับเพื่อนหรือญาติพี่น้องของเรา
ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=BgZ5FaxvBuw&ab_channel=RAMAChannel
ตอนที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=opow9QFE_uA&ab_channel=RAMAChannel
รู้จักไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ ซี น่ากลัวจริงหรือ
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดขึ้นได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำได้โดย
ยาสำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์และเป็นมาตรฐานการรักษาในปัจจุบัน คือ ยาฉีด Pegylated interferon สัปดาห์ละ 1 ครั้งร่วมกับการรับประทานยา Ribavirin ทุกวัน โดยได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลา 24 – 48 สัปดาห์ อัตราการตอบสนองอาจสูงถึงร้อยละ 90 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่เป็น
สิ่งที่คุณทำได้ เพื่อต้าน “ไวรัสตับอักเสบ ซี”
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ทำได้หรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับสร้างภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หลักสำคัญคือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น คู่สมรสที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถอยู่ร่วมกันได้ตามปกติ มารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถให้นมบุตรได้
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี
เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ได้หรือไม่
โดยปกติผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกันแต่อย่างใด เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นต้น ในเพศหญิงสามารถมีบุตรได้โดยการติดต่อไปยังทารกพบได้น้อยมาก และสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ
ที่มา
คุณมีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บ้างไหม
ลองมาทำแบบประเมินความเสี่ยงด้วยตนเองกันได้เลย
คลิกที่นี่
https://caremat.actse-clinic.com/questionnaire/questionnaire.php
ลิ้งค์ต้นฉบับ
กรมควบคุมโรคชวนตรวจ HIV ฟรีปีละ 2 ครั้ง ตรวจเร็ว รู้ก่อน ก้าวต่อได้ เผยไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV รู้ตัวเอง 491,017 คน หรือ 94%
1 กรกฎาคม 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ป่วยเอชไอวี HIV (Human Immunodeficiency Virus) ของประเทศไทย ณ สิ้นปี 2564 พบว่า มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 520,345 คน (ข้อมูลจาก Thailand Spectrum-AEM, ณ วันที่ 22 เม.ย.65) และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง จำนวน 491,017 คน คิดเป็นร้อยละ 94 (ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการให้บริการผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์แห่งชาติเดือนมีนาคม 2565) ซึ่งยังมีผู้ติดเชื้อบางส่วนที่ยังไม่ทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการ จะทราบได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจึงส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับบริการตรวจคัดกรองเพื่อทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง และเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีดีขึ้น และลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ โดยการรณรงค์ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “HIV ตรวจเร็ว รู้ก่อน ก้าวต่อได้” จัดกิจกรรมวันรณรงค์ตรวจเอชไอวี (Voluntary Counseling and Testing Day: VCT Day) ในวันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีและประชาชนได้รับการตรวจและทราบสถานะการติดเชื้อของตนเองโดยเร็ว เพื่อเข้าสู่การรักษาต่อได้ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการรู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง สำหรับคนไทยทุกคนที่มีบัตรประจำตัวประชาชน ทุกสิทธิ์การรักษา สามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ในทุกโรงพยาบาลที่ให้บริการภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีและรู้ผลภายในวันเดียว
นอกจากนี้ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) โดยในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ ชุดตรวจจากการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วมือ รู้ผลภายใน 1 นาที และชุดตรวจโดยใช้สารน้ำในช่องปาก รู้ผลภายใน 20 นาที การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองมีข้อดี คือ สะดวก มีความเป็นส่วนตัว สามารถตรวจและทราบผลได้ด้วยตนเอง เหมาะกับผู้ที่ต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่แต่ไม่สะดวกเดินทางไปโรงพยาบาล โดยสามารถหาซื้อชุดตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองได้ที่ร้านขายยาทั่วไป แต่ในปัจจุบันอาจยังมีการจำหน่ายไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ หากผลการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเองเป็นบวก ควรตรวจยืนยันผลที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา แต่หากผลตรวจยืนยันเป็นลบ จะได้รับคำปรึกษาเพื่อการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อให้กับคู่ และการชวนคู่มาตรวจ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี ควรเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยเร็ว (Same day ART) เพื่อให้สามารถกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดได้สำเร็จ ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงต่อการ เป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา วัณโรคในปอดหรือต่อมน้ำเหลือง ปอดอักเสบ งูสวัด ตาบอดจากไวรัสขึ้นจอตา และโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ การคงอยู่ในระบบการรักษา โดยการกินยาอย่างต่อเนื่อง ตรงเวลา และสม่ำเสมอ จะทำให้ปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่ำมากจนตรวจไม่พบเชื้อ จะไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่น ส่งผลต่อการลดการติดเชื้อรายใหม่ ลดการเสียชีวิต และผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ
“กรมควบคุมโรค ขอเชิญชวนหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตลอดจนสื่อมวลชน ร่วมกันรณรงค์ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจและเห็นความสำคัญ ของการรู้สถานะการติดเชื้อของตนเองโดยเร็ว และเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจนสามารถกดปริมาณไวรัสได้สำเร็จ จนไม่ถ่ายทอดเชื้อให้กับคู่ ผู้ติดเชื้อจะอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน และสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างยืนยาว สามารถติดตามกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ได้ทาง Facebook Page กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค และเพจ Safe SEX Story” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
เพศสภาพกับการเลือกปฏิบัติทางการเมือง
ในโอกาส Pride month 2022 นี้ ซึ่งเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของ LGBTQI++ แคร์แมทขอแชร์เนื้อหาที่จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสิทธิและเสรีภาพของชาว LGBTQI+ เมื่อมองเข้าไปลึกๆแล้ว พบว่า ในกลุ่มเราเองก็ยังมีความหลากหลายและมีปัญหา ความต้องการต่างกัน ตามบริบทของอัตลักษณ์ที่ต่างกัน
คุณ ฮั้ว ณชเล บุญญาภิสมภาร นักรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศ เป็นตัวแทนหนึ่งที่จะส่งเสียงให้เราทราบถึงปัญหาของ LGBTQI+ ในมิติทางการเมือง ติดตามลิ้งค์วิดิโอ ในรายการหักมุมการเมือง EP 11 ข้อความบทสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=1367909923690907
เพศสภาพกับการเลือกปฏิบัติทางการเมือง
รายการหักมุมการเมือง EP.11
แขกรับเชิญ : คุณ ฮั้ว ณชเล บุญญาภิสมภาร นักรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศ
ผู้สัมภาษณ์ : ดร. สุรางค์รัตน์ จำเนียรพล สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (PNET)
ก่อนเข้าสู่เนื้อหา เราต้องทำความรู้จักก่อน “โครงการ ส่งเสริมสุขภาวะ และลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศในประเทศไทย (Transgender Health Access Thailand : T-HAT)” คืออะไร การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของคุณ ณชเล หรือ น้องฮั้ว ที่ทำมาอย่างไรบ้าง ทำอะไรมาบ้าง ?
ตอนนี้ทำงานโครงการ T-HAT เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. เป็นโครงการสองปี เป้าหมายสุดท้ายที่เราอยากเห็นคือ ภาครัฐให้ความสำคัญการสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดสิทธิในเรื่องการเข้าถึงบริการสุขภาพของข้ามเพศค่ะ ส่วนตัวเคยอยู่อเมริกา ภาครัฐคุ้มครอง จ่ายเงินให้คนข้ามเพศ เช่นการใช้ฮอร์โมน แปลงเพศ หรือศัลยกรรมต่างๆที่เปลี่ยนแปลงร่างกายให้ใกล้เคียงกับเพศหรือสำนึกเพศของคนๆนั้นนะคะ ทำไมอเมริกาจ่ายค่าเหล่านี้ให้เราได้ ซึ่งในฐานะที่เราเสียภาษี ทำไมประเทศไทยทำไม่ได้ พอกลับมาเมืองไทย เลยอยากพัฒนาโครงการในด้านนี้ค่ะ
ก่อนหน้าที่จะทำงานนี้ ก็เคยทำงานในหลายประเด็น เช่น เอชไอวี การเข้าถึงเครื่องมือป้องกันเอชไอวี สิทธิมนุษยชนของ LGBTQNI+ นอกจากนี้ก็เป็นคณะกรรมการมูลนิธิ หลายที่ เช่น มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นประธานมูลนิซิสเซอร์ หญิงข้ามเพศในพัทยา ด้วยค่ะ นอกจากโครงการของ สสส. ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับสถานทูตอเมริกา ทำเพื่อน้องๆเยวชนที่เป็น LGBT เร็วๆนี้ในวันที่ 11 มิ.ย. 65 นี้ก็จะมีงานที่สถานทูตนะคะ ชื่อว่า Youth pride มีธีมในปีนี้คือ อิสรภาพและความยุตธรรม ก็อยากเชิญชวนนะคะ ให้สังคมไทยได้รู้ว่าเรามีตัวตน ซึ่งการเรียกร้องเรื่องอัตลักษณ์ เรื่องตัวตนก็ถือว่าเป็นเรื่องการเมืองค่ะ
จากที่ทำงานมานาน น้องฮั้วมองว่า ปัญหาสำคัญเรื่องอัตลักษณ์ของเพศสภาพ ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง ?
ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนว่า อัตลักษณ์ทางเพศ เป็นเรื่องการเมืองแน่นอน การที่เราถูกเห็น ให้รู้ว่ามีตัวตน เป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับคนที่เป็น LGBT ปัญหาหนึ่ง คือนักการเมืองหลายท่านรวมถึงคนที่ทำงานประเด็นนี้ มักใช้คำว่า ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งคำคำนี้มันลดทอนการมีตัวตนของบุคคลที่มีความหลากหลาย คือจะเหมารวมว่า บุคคลหลากหลายทางเพศมีความต้องการคล้ายกัน มีปัญหาเดียวกัน อยากผลักดันนโยบายเหมือนๆกัน แต่ถ้าเราดูลึกเข้าไปจริงๆ มันมีคนหลายกลุ่มมากๆเลยที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศ ในคนข้ามเพศก็มี หญิงข้ามเพศ ชายข้ามเพศอีก คนเป็นไบเซ็กชวล และอื่นๆอีกที่สังคมไทยยังไม่รู้จัก ในภาคการเมืองของเรา จะเห็นว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้กับเรา ก็มักมีอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็นผู้ชายโดยกำเนิด ส่วนใหญ่ก็คือผู้ชาย กลุ่มของหญิงรักหญิงก็มักจะถูกทำให้หายไป คนก็เลยไม่เห็น และไม่เกิดนโยบายที่มาส่งเสริมความเฉพาะ หรือความต้องการเฉพาะของกลุ่มนั้น มันจึงเป็นเรืองสำคัญที่จะทำให้แต่ละกลุ่มถูกมองเห็น ต้องมีพื้นที่ให้เขาได้พูด จะได้รู้ว่ามีปัญหาอย่างไร เพื่อที่จะออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของคนแต่ละกลุ่มได้อย่างไรเพราะแต่ละกลุ่มก็ต้องการไม่เหมือนกัน
นโยบายไหนที่แสดงว่าเป็นการเหมารวม ?
ต้องบอกว่า นโยบายที่มาช่วยส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศยังไม่มีค่ะ อย่างที่ทราบกันว่า สมรสเท่าเทียมก็ถูกปัดตกไป มีพรรคการเมืองพยายามที่จนำเรื่องนี้เข้าสู่สภาก็ไม่สำเร็จ ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นสวรรค์ของ LGBT แต่ความจริง แม้ว่าในสังคมก็โอบรับอยู่บ้าง แต่กฎหมายหรือนโยบายด้านสิทธิของ LGBT มีน้อยมาก ประเทศไทยก็ยังคงต้องทำงานนี้อีกนาน ก็อยากจะฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่เห็นความสำคัญที่จะออกแบบนโยบายคุ้มครองสิทธิทางสุขภาพคนหลากหลายเพศ
ขอตอบคำถามที่ว่า ทำไมถึงไม่ควรเหมารวมว่าเรามีความต้องการที่คล้ายกัน และเลือกใช้คำแค่ว่า คนที่มีความหลากหลายทางเพศ ขอยกตัวอย่างเรื่องสุขภาพ การใช้ฮอร์โมน การแปลงเพศ การข้ามเพศ เป็นปัญหาหลัก ในขณะที่คนที่เป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยน ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกายให้ตรงกับเพศสำนึกของตนเอง ฉะนั้นคนข้ามเพศจึงมีปัญหาสำคัญในการเข้าถึงบริการที่เกี่ยวกับการข้ามเพศ จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทำไมถึงไม่ควรเหมารวมมองว่าปัญหาของ LGBT เป็นปัญหาก้อนเดียว ควรถูกมองให้เป็นปัญหาเฉพาะเจาะจงตามอัตลักษณ์ทางเพศของคนคนนั้นค่ะ
น้องฮั้ว ทำให้เราเห็นภาพของ Trans ได้ชัดมากและรู้ว่าปัญหาคืออะไร อันนี้เป็นปัญหาการให้บริการทางสุขภาพ แล้วทางการเมืองล่ะ ?
แน่นอนว่า ในเมื่อเราไม่มองเห็นความหลากหลายที่แท้จริงของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ การเรียกร้องสิทธิก็จำกัดใช่ไหมคะ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมามีการกระตุ้น เติบโต และเบิกบานของสิทธิ เราเห็นว่าพรรคการเมืองหลายพรรคพูดถึง และพยายามออกแบบนโยบายที่โอบรับ แต่ยังติดกรอบที่มองความหลากหลายทางเพศเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ตรงนี้คิดว่ายังคงเป็นปัญหา ในทางการเมือง ตัวแทนของคนที่มีความหลากหลายทางเพศยังน้อยมากๆ บางประเทศเราเห็น รัฐมนตรีที่เป็น LGTB เช่นไต้หวันเป็นต้น แต่ในประเทศไทยต้องตั้งคำถามนะคะว่า เรามีประชากร LGBT มากมาย แต่ทำไมยังไม่มีใครได้รับโอกาสในรัฐสภา คำถามมี 2 ประเด็นค่ะ คือ 1. ทำไมถึงมี LGBT ในรัฐสภาน้อยมาก นับคนได้และอัตลักษณ์ยังไม่หลากหลาย 2.ทำไมรัฐสภายังไม่มีพื้นที่ให้ LGBT หรือพวกเขาอาจจะเป็นอยู่แล้วแต่ไม่กล้าเพราะกลัวไม่มีพื้นที่ ไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง ก็คือมองเป็นสองส่วนแล้วกัน คือนโยบายที่ไม่สร้างความปลอดภัยที่ทำให้คนเป็น LGBT ได้เปิดเผยตัวเอง ในขณะเดียวกัน ยังไม่มีนโยบายที่จะส่งเสริมให้ LGBT เดินเข้าสู่ภาคการเมือง อันนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ค่ะ
มีข้อเสนออะไรในเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายต่อภาคใหญ่ของกระบวนการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.รวมไปถึงเลือกตั้งทั่วประเทศที่เราหวังว่าเกิดขึ้นในอนาคต ?
มี 2-3นโยบายที่รู้สึกว่าสำคัญ ที่จะส่งผลกระทบให้เกิดความผาสุก ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่เป็น LGBT มีอัตลักษณ์ทับซ้อนหลากหลาย ไม่ได้มีเฉพาะชนชั้นกลาง ยังมี LGBT ที่เป็นคนจน คนพิการ ถ้าเรายังไม่เข้าใจ ก็จะออกแบบแต่นโยบายที่รองรับแค่ชนชั้นกลาง ในขณะที่คนพิการที่เป็น LGBT ยังเจอการเลือกปฏิบัติเป็นสองเท่า (Double discrimination) อีกเรื่องคือ การส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิค่ะ ก็มี พ.ร.บ.ความเสมอภาคระหว่างเพศ กลุ่ม LGBT ก็ใช้กลไกนี้เรียกร้องสิทธิ แต่ก็ยังไม่เฉพาะเจาะจงให้กับ LGBT งานวิจัยหลายงานชี้ให้เห็นว่า LBGT ยังมีประสบการณ์ถูกเลือกปฏิบัติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการหางานทำ ดังนั้น นโยบายที่สำคัญคือการโอบรับคน LGBT ที่อยู่ในภาคธุรกิจ ภาคเศรษฐกิจ ต้องชัดเจน และมอบพื้นที่ให้ได้งานทำ และไม่เลือกปฏิบัติ
และยังมีเรื่อง กฎหมายสมรถเท่าเทียม ประเทศอื่นทำได้ ทำไมเรายังทำไม่ได้ หลายประเทศมีแล้ว มันเป็นเทรนด์แล้ว ในเอเชียก็มีหลายประเทศ ซึ่งไทยประชากรมากมาย เมื่อเรียกร้องสิทธิ ก็ถูกตั้งคำถามจากภาครัฐว่า Trans มีทั้งหมดกี่คน คือยากจะถามกลับว่า มันเป็นหน้าที่ของเราไหมที่จะไปหาจำนวน เราไม่มีทรัพยากรที่จะทำได้ ภาครัฐต่างหากที่ต้องหาจำนวน ถ้าจริงใจจริงๆที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เราเข้าถึงสิทธิทางสุขภาพ มันทำได้ มีหลายประเทศเช่น ที่แคนาดา ก็มีแบบสำรวจสำมะโนประชากรที่อัตลักษณ์ทางเพศที่ไม่ใช่ชายหญิง
คำถามสำคัญคือ มันมีอะไรคะที่ทำให้ประเทศไทยหรือการเมืองไทย ไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่โอบรับ ส่งเสริม คุ้มครอง สนับสนุน สิทธิของ LGBT อย่างแท้จริง ? Action ที่สำคัญมากๆคือ การปฏิบัติจริง เราอยากได้ความชัดเจนตรงนี้ค่ะ
กลายเป็นว่าถูกผลักภาระให้เราสำรวจ นี่ไม่ใช่แค่ LGBT แต่กลุ่มคนพิการ คนจน ต่างๆก็เจอแบบเดียวกัน แบบสำรวจก็มีให้เลือกแค่เพศ ชาย / หญิง รัฐทำได้ ก็แค่ปรับอะไรนิดหน่อย
น้องฮั้วมีข้อเสนอของเครือข่าย LGBTI ต่อการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. อะไรบ้าง ?
เราคิดว่า กทม.เป็นเมืองยุทธศาสตร์เรื่องการขับเคลื่อน เป็นต้นแบบของอะไรหลายๆอย่าง ที่อยากเห็นคือ เป็นต้นแบบเรื่องการบริการสุขภาพที่ไม่เลือกปฏิบัติกับ LGBT จริงๆแล้วใน กทม.มีคลินิกมากมายที่ให้บริการเฉพาะ เช่น โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รามาธิบดี สามารถเป็นต้นแบบได้สำหรับคลินิกในต่างจังหวัด เราคิดว่าสิ่งนี้สำคัญ อยากให้พัฒนาเป็น Model ให้ต่างจังหวัดมาศึกษาดูงาน และเผยแพร่ Model นี้ให้เป็นประโยชน์ต่อทุกคนทั่วประเทศค่ะ
อีกเรื่องคือการคุ้มครอง ส่งเสริม สิทธิ LGBT ต้องชัดเจน อย่าพูดว่าเราคุ้มครองสิทธิของคนทุกคน แต่ในความเป็นจริง LGBT ถูกลืม ไม่เคยได้เลย ในวาทกรรมที่ว่า “คนทุกคน” “คนทุกเพศ” ฉะนั้นมันต้องชัดเจน เกิดการส่งเสริมสิทธิอย่างแท้จริง
กทม. มี LGBT ในภาคธุรกิจจำนวนมาก สำคัญมากๆ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่ drive เศรษฐกิจของกทม. ต้องเห็นนโยบายที่ชัดเจนที่จะให้คนเหล่านี้เข้าสู่การจ้างงาน ในขณะเดียวกัน การศึกษาก็สำคัญเพราะเราทำงานกับเยาวชน เป็นกระบวนการแรกเลยที่ให้คนเรียนรู้ว่า LGBT คือใคร การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในดรงเรียนก็สำคัญ เด็กนักเรียนที่เป็น LGBT มักถูกบูลลี่ เมื่อได้ที่ปลอดภัยก็จะไม่ถูกเบียดขับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เขาในภายภาคหน้าในการหางานทำ
ขอทิ้งท้ายหน่อยค่ะ เรื่อง LGBT ที่มี IN+
I ( Intersex) คือคนที่ลักษณะทางโครโมโซม หรือทางร่างกายมีสองเพศ อาจมีโครโมโซมเป็น XXY, XXX เป็นต้น
N ( Non binary) คือคนที่ไม่นิยามตนเองว่าเป็นเพศใด ไม่เป็นชาย ไม่เป็นหญิง
อีกกลุ่มคือ A อยากจะเสนอ 2 A นะคะ
A แรก คือ Asexual อีก A คือ Alliance หมายถึง พันธมิตร เรามักจะคัดผู้มีเพศกำเนิดเป็นชาย/หญิง (ชายแท้ หญิงแท้) ออกไป จริงๆแล้วกลุ่มนี้ก็สำคัญ อย่าแยกออกจากชุมชนเพราะเราก็คือมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้น เวลาทำงานเรื่องสิทธิ คนที่จะเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้เราได้อีกคือ คนที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิงโดยกำเนิดนี่แหละค่ะ ที่สามารถเข้าร่วมผลักดันนโยบายที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับคนที่เป็น LGBT อย่าเอาตัวเองออกไปเพราะคำว่า “หลากหลายทางเพศ” ก็รวมเอาคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกันค่ะ